ช่วงนี้ได้ยินกระแสการลงทุนแบบ DCA หรือ Dollar Cost Average กำลังมาแรงมากๆ วันนี้จึงอยากเอาเรื่อง DCA มาแชร์ให้ฟังในหลายๆมุมการลงทุนแบบ DCA จริงๆแล้วก็คือ การทยอยลงทุนในสินทรัพย์ที่เราต้องการ โดยแบ่งเงินที่เราจะลงทุนเป็นหลายๆก้อน ในจำนวนเท่าๆกัน แล้วตั้งกำหนดเวลาในการลงทุนให้ชัดเจน ยกตัวอย่างเช่น เราตั้งซื้อกองทุนรวมดัชนี SET 50 ทุกวันที่ 30 ของเดือนเป็นจำนวน 1,000 บาท ทุกเดือน การทำเช่นนี้จะช่วยให้เรา แก้ปัญหาเรื่องการลงทุนตามอารมณ์ของตัวเราเอง และ อารมณ์ของตลาดได้ เพราะการลงทุนตามตามอารมณ์ของตัวเองและอารมณ์ของตลาดนั้นส่วนใหญ่จะทำให้เกิดเหตุการณ์ที่เราไปซื้อตอนที่ราคาสูงเพราะความโลภเนื่องจากข่าวดีในตลาด และไปขายในช่วงที่ราคาต่ำเพราะความกลัวเนื่องจากข่าวร้ายในตลาด เพราะฉะนั้นเมื่อเราแก้ปัญหาเรื่องอารมณ์ได้ เราก็จะแก้ปัญหาเรื่องการลงทุนผิดจังหวะเวลาได้หรือ แก้ปัญหาเรื่อง Market Timing นั้นเอง
ตามภาพกราฟของกองทุนดัชนี SET 50 ด้านล่าง จะเห็นว่า ราคาของกองทุนก็มีการปรับขึ้นปรับลงตลอดระยะเวลา 6 ปี แต่ระยะยาว ราคาก็มีการปรับตัวขึ้นไปได้ ดั้งนั้นการลงทุนแบบ DCA ในกองทุนนี้จะทำให้เราได้ผลกำไรอย่างแน่นอน เพราะเรามีการทยอยลงทุนอย่างต่อเนื่อง แต่ที่สำคัญต้องไม่มีการขายทิ้งระหว่างทางนะครับ
อย่างไรก็ตามการลงทุนแบบ DCA ไม่ใช้ทางออกของทุกปัญหาในการลงทุนครับ เพราะถ้าในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนไปใช้เทคนิคการลงทุนแบบ DCA ในหุ้น BEC หรือ สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 วันนี้นักลงทุนก็จะขาดทุนในการลงทุนอยู่ดีเพราะว่าในช่วง 6 ปีที่ผ่านมา ราคาหุ้น BEC ได้ปรับตัวลดลง จาก 70กว่าบาท เหลือเพียง ประมาณ 6 บาท
จากเรื่องที่เล่ามานั้น จะเห็นว่า การลงทุนแบบ DCA นั้นช่วยให้เราแก้ปัญหาเรื่อง Marketing Timing หรือการลงทุนผิดจังหวะได้จริง !!!
แต่…ถ้าเราไปเลือกลงทุนในหุ้นที่ราคาไม่ได้ปรับตัวขึ้น ลงทุนไปนานเท่าไรก็ไม่ได้กำไรครับ !!!
สำหรับปัจจัยเรื่อง Marketing Timing นั้น เป็นสิ่งที่มีผลต่อกำไรระยะยาวที่เราได้รับเพียง 2% เท่านั้น !!! (ผมพิมพ์ไม่ผิดนะครับ 2%!!! ลองดูตามผลวิจัยตามรูปด้านล่างหรือลองค้นอ่านจาก Google ก็ได้)
ส่วนปัจจัยที่จะช่วงสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนได้มากที่สุดคือ การทำ Asset Allocation ที่ดีมีการแบ่งเงินลงทุนในหลายๆสินทรัพย์ทั้งในสินทรัพย์ที่เป็นหุ้นไทยและหุ้นต่างประเทศ รวมถึงสินทรัพย์อื่นเช่นตราสารหนี้อีกด้วย ซึ่งปัจจัยเรื่อง Asset Allocation นั้นมีผลต่อกำไรระยะยาวถึง 91% !!!
นอกจากนี้การลงทุนในหุ้นเพียงไม่กี่ตัวก็ยังมีความเสี่ยงค่อนข้างมากเพราะถ้าเกิดบริษัทที่เราเลือกลงทุนเกิดเป็นเหมือนหุ้น BEC ที่ขาดทุน 90 กว่า% ในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาเราก็ไม่ได้ผลกำไรที่ต้องการอยู่ดีแถมยังต้องขาดทุนอย่างมหาศาล (ผมเชื่อว่าตอนที่คนเลือกลงทุนในหุ้น BEC เมื่อ 6ปีที่แล้วเขาก็มีความมั่นใจว่าเขาเลือกหุ้นที่พื้นฐานดีแน่ๆ)
ในทางกลับกัน ถ้าเราปล่อยให้ ผู้จัดการกองทุนที่เป็นมืออาชีพในการคัดสรรหุ้นมาช่วยคัดเลือกหุ้นให้แล้วเราก็แค่ทยอยลงทุนในกองทุนด้วยรูปแบบของ DCA ไปเรื่อยๆ เราก็สามารถมั่นใจได้เลยว่าเงินของเราจะเติบโตในระยะยาวอย่างมั่นคงแน่นอน