ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มมากขึ้นจนถึงระดับสูงสุดของปี โดยได้ไต่ระดับมาตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน ของปีที่ผ่านมา โดย Brent Future ได้ขึ้นไปจุดสูงสุดที่ $70 ต่อบาเรลล์เมื่อเช้าวันที่ 8 เมษายน 2019
แรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่ผลักดันให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องคือ
(1) การลดกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC โดยกลุ่ม OPEC ได้ทยอยปรับลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบลงอย่างต่อเนื่อง จนปัจจุบัน กลุ่ม OPEC ได้ลดกำลังการผลิตไปกว่า 2 ล้านบาเรลล์ต่อวัน และตลาดได้คาดการณ์ว่า OPEC จะยังคงลดกำลังผลิตลงไปอีกจนกว่าจะมีการประชุมอีกครั้งในช่วงเดือนมิถุนายน ของปีนี้
(2) การคว่ำบาตรสองประเทศยักษ์ใหญ่ที่ผลิตน้ำมันดิบอย่าง Iran และ Venezuela สหรัฐได้ประกาศคว่ำบาตร 2 ประเทศยักษ์ใหญ่ในการผลิตน้ำมันอย่าง Iran และ Venezuela ซึ่งส่งผลให้ปริมาณน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลง นอกจากนี้ การคว่ำบาตรของสหรัฐดังกล่าว ยังส่งผลให้ประเทศที่เคยร่ำรวยจากการพึ่งการส่งออกน้ำมันเป็นหลักอย่าง Venezuela เกิดวิกฤติการณ์เงินเฟ้ออย่างรุนแรง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อประชาชนภายในประเทศอีกด้วย
(3) ตัวเลขการจ้างงานอย่างแข็งแกร่งของสหรัฐ ตลาดได้ผ่อนคลายอีกครั้งหลังจากทราบตัวเลขการจ้างงานของสหรัฐประจำเดือนมีนาคม หลังจากที่ ตัวเลขการจ้างงานในเดือนกุมภาพันธ์ ต่ำสุดในรอบ 3 ปี โดยตัวเลขการจ้างงานเดือนมีนาคม เพิ่มขึ้น 196,000 ตำแหน่ง ซึ่งมากกว่าเดือนกุมภาพันธ์ที่มีเพียง 33,000 ตำแหน่ง หรือเพิ่มขึ้นกว่าเกือบ 5 เท่า ซึ่งเป็นลดความกังวลเดิมที่ว่าเศรษฐกิจโลกอาจจะชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม จากตัวเลขที่เพิ่มขึ้นนี้ส่งผลให้มีการคาดาการณ์ว่า จะมีการใช้น้ำมันดิบเพิ่มมากขึ้น โดยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้น 1%
(4) ความขัดแย้งในลิเบีย จากผลกระทบของสงครามภายในประเทศลิเบีย ส่งผลให้กำลังการผลิตน้ำมันลดลงอย่างต่อเนื่อง และล่าสุดยังไม่มีทีท่าว่าความขัดแย้งดังกล่าวกล่าวจะลดลงในเร็วๆ นี้
JP. Morgan ได้กล่าวว่า ราคาน้ำมันดิบ Brent ได้ปรับเพิ่มขึ้นกว่า 30% นับจากปีที่แล้ว อันเนื่องมาจาก OPEC ได้ลดกำลังการผลิตน้ำมันดับอย่างต่อเนื่องในช่วง 4 เดือนที่ผ่านมา นอกจากนั้น ความก้าวหน้าในการหารือเพื่อบรรลุข้อตกลงทางการค้าระหว่างจีนและสหรัฐมีแนวโน้มชัดเจนมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดมีมุมมองเชิงบวก และยังช่วงให้สร้างความต้องการน้ำมันเพิ่มมากขึ้นอีกด้วย
Refer : www.bbc.com