ในภาวะที่ตลาดหุ้นไทย ยังไร้ทิศทาง เงินลงทุนของนักลงทุนต่างชาติ ก็ยังไม่เข้ามา ในขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศก็ยังอึมครึม ทั้งที่เราผ่านการเลือกตั้งมาแล้วเป็นสัปดาห์ แต่อนิจจา ผลของจำนวนที่นั่งสส.ยังไม่ชัดเจน ไม่ต้องพูดถึงการจัดตั้งรัฐบาล ว่าจะเป็นฝ่ายไหน เสียงเท่าไหร่ เสถียรภาพจะเป็นไง คณะรัฐมนตรีจะหน้าตาเป็นอย่างไร ฯลฯ
“ยังไม่มีใครทราบแน่ชัด”
มีนักลงทุนจำนวนมาก ถือเงินสดมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว ข้ามปีมาถึงตอนนี้ ไม่มี position ในหุ้นเท่าไหร่นัก จะซื้อหุ้นเป็นตัว ก็กลัวติดดอย เลยมีคำถามใหญ่ว่า “ระหว่างการซื้อหุ้นเอง กับการ ซื้อกองทุน ในภาวะแบบนี้ จะเอาไงดี ?”
ตอบตามตรง ทั้ง 2 วิธีต่างก็มีข้อดีข้อเสียคนละแบบ
1.ถ้าซื้อหุ้นเอง
เลือกลงทุนในธุรกิจที่เราชอบได้ เหมาะกับคนที่มีทักษะในการวิเคราะห์หุ้น เลือกหุ้นเป็น วัดมูลค่าเป็น สร้างพอร์ทด้วยหุ้น 5-8 ตัว ทยอยสะสมที่ราคาสมเหตุสมผล ในระยะเกิน 3 ปีขึ้นไป ถ้าเลือกได้ถูกตัว เผลอๆผลงานดีกว่ากองทุนหลายแห่ง
ข้อดี คือ เราได้ฝึกทักษะการเป็นนักลงทุนจริงๆ มีความเข้าใจในตลาดจริงๆ เรามีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นจริงๆเพราะชื่อเราเป็นเจ้าของหุ้น เช็คเงินปันผลสั่งจ่ายชื่อเรา สิทธิการโหวต ประชุม (รวมทั้งรับของแจก)วันประชุมผู้ถือหุ้น จะอยู่ในนามเราเองทั้งหมด และยิ่งถ้าหุ้นที่เราเลือกเป็นหุ้นเติบโตจริงๆ ผลตอบแทนการลงทุนระยะยาวจะสูงมาก
ข้อเสีย คือ เราอาจจะเลือกหุ้นผิดได้เพราะเป็นพอร์ทที่ค่อนข้างโฟกัสจำนวนหุ้น การปรับพอร์ทหลังจากตามดูกิจการและงบการเงินระยะเวลาหนึ่งเป็นสิ่งจำเป็น ถ้าเกิดทำได้ไม่ดี เช่น เวลาควรหยุดไม่หยุด ควรถัวไม่ถัว ควรถอยไม่ถอย ผลตอบแทนพอร์ทก็อาจจะดูไม่จืดได้เช่นกัน เลือกเองย่อมเสี่ยงมากกว่า ซึ่งตรงนี้เราต้องจัดการด้วยตัวเอง
2.ถ้าซื้อกองทุนรวม
เหมือนเราเอาเงินไปให้มืออาชีพ(ผู้จัดการกองทุน)ดูแลเงินลงทุนแทนเรา ซึ่งผจก.กองทุนก็จะเอาไปลงทุนในตามแต่นโยบายกองทุนที่เราเลือก เช่น SET50, JUMBO25, Growth Equity, Small Cap, High Dividend, ฯลฯ บางกองทุนมีการจำกัดความเสี่ยงโดยลงทุนในพันธบัตรและตราสารหนี้ส่วนหนึ่ง ทำให้ผลตอบแทนที่ได้ไม่เหวี่ยงมากนัก และบางกองทุนก็มีสิทธิประโยชน์อื่นๆ ให้ เช่น กองทุน LTF และกองทุน RMF ซึ่งสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้ด้วย
ข้อดี คือ ง่าย สบายใจ ให้มืออาชีพจัดการให้ แค่เลือกกองทุนแล้วซื้อหน่วยลงทุนก็จบละ มีเวลาไปทำงานทำการอย่างอื่นเต็มที่แบบไม่ต้องพะวง หากอยากจะดูราคาก็ดูที่มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV: Net Asset Value) ที่เปลี่ยนวันละครั้งเดียว ประกาศตอนหัวค่ำ
ข้อเสีย คือ พอมันง่ายเกินไปเพราะเป็นการซื้อเหมารวมหุ้นที่จัดเข้าเป็นกองทุนหลายสิบตัว แต่เจ้าของหุ้นดันไม่ใช่ชื่อเรา เราก็ไม่ได้ฝึกความเป็นนักลงทุนเลย ถือนานๆ ไม่มีอะไรต้องตามดู ไม่ต้องตามงบการเงิน ไม่ได้ตามข่าว เพราะหลักการถือกองทุนต้อง Buy and Hold for Long Term คือซื้อแล้วถือระยะยาว อารมณ์คล้ายกับการถือกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
ก็ลองชั่งใจกันดูครับ เริ่มต้นลงทุน จะเป็นหุ้นหรือกองทุนรวม ถ้าวางยาวๆก็ดีทั้งนั้น....