!!! Tesla Motors ผู้นำรถยนต์พลังงานไฟฟ้าระดับโลก !!!

โดย stock2morrow

เผยแพร่: 15 ก.ย. 2562 00:00

948 views

เทสลามอเตอร์ส (Tesla Motors) เป็นบริษัทของสหรัฐอเมริกาที่ออกแบบ ผลิตและจำหน่ายรถพลังงานไฟฟ้าและส่วนประกอบระบบส่งกำลังของยานพาหนะไฟฟ้า โดยบริษัทมีภารกิจหลักคือ การกระตุ้นให้เกิดการเข้าสู่ยุคของการเดินทางที่ยั่งยืน ‘Accelerate the World’s Transition to Sustainable Transport‘

เทสลามอเตอร์สได้รับชื่อเสียงแพร่หลายครั้งแรกหลังจากที่เริ่มจำหน่ายรถเทสลา โรดสเตอร์ รถสปอร์ตไฟฟ้าคันแรก รถยนต์คันที่สองของบริษัทคือเทสลา โมเดลเอส รถเก๋งหรูหราที่ใช้พลังงานไฟฟ้า เทสลา โมเดลเอ็กซ์ รถ SUV คันแรกของบริษัท และยังมีรถยนต์อีกคันที่กำลังจะออกจำหน่าย นั่นคือเทสลา โมเดล 3 ซึ่งตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 40,000 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งนับเป็นรุ่นที่ราคาถูกที่สุด โดยเมื่อทำการเปิดจำหน่ายบนเว็บไซต์เมื่อช่วงต้นเดือนเมษายน 2559 เพียงแค่ 1 อาทิตย์ มีคนให้ความสนใจจองถึง 325,000 คัน

เทสลายังจำหน่ายส่วนประกอบระบบส่งกำลังของยานพาหนะไฟฟ้าอีกด้วย รวมไปถึงการผลิตแบตเตอรี่ลิเทียม-ไอออนสำหรับบริษัทผลิตรถยนต์ อาทิเช่น เดมเลอร์ และโตโยต้า โดย Tesla ยังได้ตั้งเป้าไว้อีกว่าเทคโนโลยีที่สะอาดจะเป็นแหล่งพลังงานหลักของโลกในอนาคต

รถยนต์แต่ละรุ่นของ Tesla

1.Tesla Model S ราคาเริ่มต้น 75,750 $

ที่มาภาพ : www.tesla.com/models

2.Tesla Model 3 ราคาเริ่มต้น 26,950$

ที่มาภาพ : www.tesla.com/model3

3.Tesla Model X ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 80,450 $

ที่มาภาพ : www.tesla.com/modelx

4.Tesla model Y ราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 43,700$

ที่มาภาพ : www.tesla.com/modely

ที่มาภาพ : www.tesla.com/modelx

5.Tesla Roadster ราคาเริ่มต้นนั้น รุ่นใหม่ที่จะผลิตในปี 2020 นั้นราคาเริ่มต้นอยู่ที่ 200,000$

ที่มาภาพ : www.tesla.com/roadster

ที่มา : Tesla

รายได้ของ Tesla Morors

ปี 2015 มีรายได้ 4,046,025$ กำไรขั้นต้น 923,503$

ปี 2016 มีรายได้ 7,000,132$ กำไรขั้นต้น 1,599,257

ปี 2017 มีรายได้ 11,758,751$ กำไรขั้นต้น 2,222,487

ปี 2018 ทีรายได้ 21,461,268$ กำไรขั้นต้น 4,042,021

แนวโน้มรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย

ขณะที่สถานการณ์รถยนต์ไฟฟ้าของไทยในปัจจุบันเริ่มมีทิศทางชัดเจนมากขึ้นว่าการพัฒนาอุตสาหกรรมจะพึ่งพา รถยนต์ไฮบริด (HEV) เป็นตัวส่งผ่าน โดย ณ วันที่ 31 ธ.ค. 60 ไทยมีรถยนต์ไฮบริดและปลั๊กอินไฮบริดอยู่ที่ประมาณ 1 แสนคัน ส่วนรถยนต์นั่งที่ใช้ระบบไฟฟ้า 100% (BEV) มีอยู่เพียง 82 คันเท่านั้น ซึ่งถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับประเทศผู้นำด้านนวัตกรรม รถยนต์ไฟฟ้าประเทศอื่นๆ เช่น จีน สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น ฯลฯ ที่มีเป็นหลักแสนถึงหนึ่งล้านคัน

อย่างไรก็ตามในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ไทยเริ่มมีแนวทางการพัฒนาที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมมากขึ้น โดยเฉพาะการผ่านมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2560 ออกมาตรการสนับสนุนการผลิตรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าจำนวนทั้งสิ้น 6 มาตรการ ครอบคลุม ทั้งด้านการสนับสนุนการสร้างอุปสงค์และอุปทานรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศ ด้านความพร้อมของโครงสร้างพื้นฐาน ด้านมาตรฐานรถยนต์ไฟฟ้า และด้านการบริหารจัดการแบตเตอรี่ใช้แล้ว เป็นต้น

ส่วนความร่วมมือระหว่างหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เริ่มมีความชัดเจนมากขึ้นเช่นกัน สะท้อนจากการตื่นตัวด้านโครงสร้างพื้นฐานในการประจุไฟฟ้า (Charging Infrastructure) หรือสถานีชาร์จไฟฟ้า ไม่ว่าจะเป็นการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (EGAT), การไฟฟ้านครหลวง (MEA), การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (PEA), บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) และบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ที่ทยอยเปิดตัวสถานีชาร์จไฟฟ้าออกมา อย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น โครงการ EA anywhere ของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ที่เซ็นข้อตกลง MOU ร่วมกับ กฟน.

โดยมีเป้าหมายสถานีชาร์จไฟฟ้าเป็น 1,000 สถานี ภายในสิ้นปี 2561 จากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 100 สถานี ทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล ทั้งนี้แนวทางข้างต้นถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีของไทยในการพัฒนาอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อเตรียมพร้อมรับ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการผลิตรถยนต์ในอนาคต