“ให้เงินทำงาน” ได้ยินมานานจนไม่รู้ว่า ใครเริ่มพูด
แต่ที่ต้องสนใจ คือ “เมื่อไหร่เราจะเริ่มทำ”
สวัสดีเพื่อนๆนักอ่าน และนักลงทุนทุกท่านค่ะ กลับมาพบกับอีกครั้งกับ โปรเจกต์ดีๆ ที่เราพวกเราชาว stock2morrow ตั้งใจทำขึ้น เพราะเราเชื่อว่า #ทุกอาชีพสามารถลงทุนได้ กับโปรเจกต์ My Way My Investment เผลอแป๊บเดียวเรามาถึง EP.12 กันแล้วนะคะ และครั้งนี้เป็นอีกครั้งที่เรามาพร้อมกับอาชีพ พนักงานบริษัท
ในหนึ่งองค์กรก็จะมีหลายตำแหน่ง หลายหน้าที่แตกต่างกันออกไป เพื่อนๆเป็นอีกคนหรือเปล่าคะ? ที่กำลังหาข้ออ้างให้ตัวเองว่า ทำงานอาชีพนั้น อาชีพนี้ ทำงานตำแหน่งนั้น ตำแหน่งนี้แล้วไม่มีเวลาศึกษา ไม่มีเวลาลงทุนหรอก วันนี้เรามีบทสัมภาษณ์จากมุมมองความคิด ของคนรุ่นใหม่ GenY หนุ่มหล่อ อารมณ์ก็ดี หน้าตาก็ดี คุณพีท ภูวสิทธิ์ พนมสิงห์ ในอาชีพนักงานประจำ คุณพีท ทำงานในตำแหน่ง Assistant Business Development ของบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) บริษัทอสังหาริทรัพย์อีกเจ้าที่โตอย่างรวดเร็ว เปิดโครงการคอนโดใหม่ๆให้เราได้เห็นกันตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่ตลอด อีกทั้งพรีเซนเตอร์มากหน้าหลายตา ไม่ว่าจะเป็น ณเดช คูกิมิยะ และล่าสุดคือพี่ซันนี่ สุวรรณเมธานนท์ บริษัทโตเร็ว วิ่งเร็วขนาดนี้ พนักงานบริษัทอย่างคุณพีท ยังตอบพวกเราว่ามันไม่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนของเขาเลย มันเป็นข้อดีซะด้วยซ้ำ..อยากรู้แล้วค่ะ แล้ววิธีการคิดของคุณพีทเป็นอย่างไร เราไปเริ่มบทสัมภาษณ์กันเลยดีกว่าเนอะ
Q: แนะนำตัวให้พวกเรารู้จักหน่อย แล้วตอนนี้ลงทุนอะไรอยู่บ้าง?
ชื่อ ภูวสิทธิ์ พนมสิงห์ ชื่อเล่น พีทครับ ปัจจุบันทำงานที่บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ตำแหน่ง Assistant Business Development งานที่ทำคือ อย่างเวลาที่ผู้ใหญ่ หรือพี่โด่ง (ประธานบริหารบริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ได้ที่ดินจากนายหน้าเสนอเข้ามา ผมจะเป็นคน Screen กฎหมายให้ผ่านก่อน ดูภายภาพ ดูการตลาด ดูโมเดลการเงิน ดูภาพรวมโครงการว่าจะเอาโมเดลตัวไหนไปลง เพื่อให้ตอบโจทย์ และต่อรองราคาที่ดิน ให้ได้ราคาที่เหมาะสมเพื่อรองรับตลาด ณ ช่วงเวลานั้น ส่วนเรื่องการลงทุนตอนนี้ก็มีทั้งหุ้น และคอนโดครับ
Q: เล่าเรื่องราวการลงทุนตั้งแต่เริ่มต้นให้ฟังหน่อย ทำไมอยู่ดีๆ ถึงอยากมาลงทุน?
เชื่อว่าทุกคนก็ต้องเคยได้ยิน บทความหรือคำพูดที่บอกว่า “ให้เงินทำงาน” ผมได้ยินมาเยอะและบ่อยมากก็จำไม่ได้ว่าใครพูดเป็นคนแรกนะครับ (หัวเราะ) ก็เกิดสงสัยว่ามันอะไร คือยังไง ก็เลยลองอ่านคอนเท้นต์ บทความต่างๆ ของหลายเพจมาก เหมือนเอาตัวเข้าไปขลุกให้ได้คำตอบ “มันทำยังไง” ได้คำตอบว่า เหมือนเราทำงานเก็บเงินใช่ไหม ระหว่างช่วงเวลาที่เงินมันคาอยู่นิ่งๆในธนาคาร ตอนนี้ดอกเบื้ยเงินฝากมันอยู่ที่ 1.5-2% ถ้าเราเอาไปลงทุนอะไรซักอย่าง คอนโดหรือ หุ้นก็ได้ เช่น คอนโดนะ เราคิดว่าเอาซัก Yield ที่ได้ชนะ เกินดอกเบี้ยแบงค์มาแค่ 1-2% เราก็คุ้มแล้ว ดีกว่าฝากแบงค์เอาไว้เฉยๆ ให้มันได้ทำงาน แถมยังได้เก็บ Capital gain (ผลกำไรส่วนต่างจากราคาหลักทรัพย์นั้น) อีก ซึ่งเป้าหมายตอนแรกเลย แค่อยากชนะดอกเบี้ยธนาคาร ชนะอัตราเงินเฟ้อ ซึ่งตอนนี้คือ 3-4% แค่นี้ก็ Happy แล้วครับ
Q: ตอนเริ่มคืออยากเอาชนะอัตตราดอกเบี้ย และอัตราเงินเฟ้อ หลังจากนั้นมารู้จักการลงทุนหุ้นได้ยังไง?
ก่อนที่จะมาลงทุนหุ้น เราทำงานและเรียนมาในสายอสังหาฯ คอนโดพวกนี้ เราก็จะรู้ว่าภาพกว้างเช่น ที่ดินในโซนนี้ราคาเท่าไหร่ เราก็จะรอราคาที่เหมาะสม อย่างย่านไหนมี Developer ไปเปิด ไม่จำเป็นต้องเป็นของแบรนด์ออริจิ้นเท่านั้นนะ (ยิ้ม) ดูโครงการที่ราคาต่ำกว่าตลาด ก็จะไปซื้อไว้ ไปต่อคิวจองตั้งแต่ตีสี่ตีห้าเลย เพื่อให้ได้ราคาที่เหมาะสม รอบ VIP รอบ PerSale ซึ่งเป็นราคาต่ำจริงๆ ถือระยะยาวไว้ รอรายได้ที่จะตอบแทนในอนาคต อย่างตอนนี้อายุผมอายุ 26 อาจจะรอบซัก 10 ปี พอ 35 ผ่อนหมด ก็จะเป็น income ที่เข้ามา
แต่ถ้าเริ่มศึกษาเลย เอาจริงๆก็ตั้งแต่ตอนเรียนนะ ศึกษาหุ้นมาก่อนครับ ลงทุนหุ้นก่อน คอนโดคือเกี่ยวกับที่เราเรียนมา สายที่เราทำงาน เหมือนจะรู้จักมาก่อน แต่ก็ยังไม่ได้เริ่มลงทุน เพราะว่าต้องใช้เงินก้อนใหญ่ เงินเย็น แต่จริงๆ ก็เริ่มลงทุนไล่เลี่ยกันนะครับ มีรุ่นพี่ที่รู้จักกันคนหนึ่งเขาบอกว่า ให้ศึกษาไปด้วยลองลงทุนไปด้วยเลย ค่อยๆแบ่งค่อยลงเงินประมาณ 10% 20% วางแผนการลงทุน ถ้าถูกก็ไปต่อ ผิดก็ Cut ทิ้งค่อยวางแผน ต้องมีวินัย มี Plan A B C สำหรับรองรับสถานการณ์ต่างๆ โดยขณะที่เราทำงานประจำไปด้วย ใช้แพลนที่วางไว้ คอยสังเกตุการณ์ อาจจะช่วงเช้าตื่นนอน ตอนเที่ยง ก่อนนอน ผมชอบเอาตัวเข้าไปขลุก ตามเพจโซเชียลต่างๆ ให้ได้เห็น ได้ผ่านตา
Q: ดูเหมือนจะรู้จักการลงทุนมาตั้งแต่เด็กๆเลยใช่ไหม แล้วระหว่างลงทุนในหุ้นกับอสังหาชอบอะไรมากกว่ากัน?
ก็ไม่เชิงตั้งแต่เด็กนะครับ ประมาณช่วงสมัยเรียน ปี1 ปี2 อายุ 19-20 คือเริ่มสนใจ แต่ช่วงนั้นก็คือแค่อ่านนะ ไม่ได้ลงมือทำเอง ก็คือไม่ได้รับ Feel ความเสี่ยงหรืออะไรต่างๆที่ต้องตามมาอยู่แล้ว ถ้าให้เลือกระหว่างลงทุนหุ้นกับอสังหาฯ เอาเข้าจริงๆก็ชอบทั้งคู่ มันเหมือนเป็นการกระจายความเสี่ยง หุ้นเราชอบยู่แล้ว มันดูเหมาะกับคน Gen ใหม่ Gen Y เราใจร้อนอ่ะ ตอนนี้ก็แบ่งพอร์ต เอาเงินปันผลกับ capital gain (ส่วนต่างราคาสินทรัพย์) ให้พอๆกัน 50% -50%
Q: หลังจากลงทุนมาซักพัก มีผิดพลาดบ้างไหม?
โอ้ววว มีๆ เรื่องหุ้นเนี่ยแหละครับ ตอนนั้นคือไปฟังข่าวมา ดูข่าวมา เป็นข่าวลือผิดๆ ตอนนั้นคือยังดูเทคนิคอล ดูกราฟไม่เป็น เข้าซื้อผิดราคา ก็ขาดทุนตั้ง 50-60% ได้ครับ ในระยะเวลาแค่ 1-2 อาทิตย์เอง ตอนนั้นก็ตกใจมากนะ โหววว..เงินหายไปทำไงดี ต้องตั้งสติ แต่ก็ปล่อยไปแบบนั้นแหละ กลับมาเริ่มสังเกตุ Price Pattern ดูกราฟ ศึกษาว่า ช่วงเวลานั้นที่เราลงซื้อไปแล้ว กับข่าวที่มันออกมา กราฟหุ้น พฤติกรรมหุ้น มันเป็นยังไง ค่อยๆเช็คไป แล้วก็ดู Story ของหุ้นว่าเป็นขาขึ้นหรือขาลง วิเคราะห์แนวธุรกิจ รวมถึงการเมืองทุกอย่างเลยครับ มันต้องสอดคล้องกัน ทำให้รู้ว่าก่อนตัดสินใจซื้อต้องดูตรงนี้ก่อน ต้องใจเย็นๆ ต้องแน่ใจว่ามันเป็นราคาที่เราซื้อตอน Head หรือ Bottom ตอนนั้นเราดันไปซื้อที่ Head ก็ตกใจมากเลย
Q: ได้บทเรียนอะไรบ้าง?
สำคัญมากเลยคือ “อย่าใจร้อน” ได้ข่าวอะไรมาหยุดและศึกษาก่อน เข้าใจนะว่าวัยรุ่น แต่ต้องใจเย็น ดูก่อนว่า มันเกิดอะไรขึ้น และในอดีตเคยมีข่าวแบบนี้หรือไม่ เชิงลบเชิงบวก เคยได้ยินคำว่า ข่าวดีให้ขาย ข่าวร้ายให้ซื้อ มันก็ไม่เสมอนะครับ ผมว่ามันทำให้ต้องตั้งข้อสังเกตุด้วยตัวเองว่า ข่าวแบบนี้ พฤติกรรมหุ้นตัวนี้จะเป็นแบบไหน จะขึ้นหรือลง
อย่างช่วงเลือกตั้งนี้ เราก็ไปสืบมาว่าบริษัทไหนที่ประมูลได้พิมพ์บัตรเลือกตั้ง ก็เข้าไปศึกษา รอดูราคา รอเข้าซื้อ ค่อยๆซื้อเก็บ พอเลือกตั้งจบ เราก็ค่อยขาย ตอนที่มันถึงเป้าที่ตั้งไว้ อาจจะ 5-6% เราต้องมีวินัยเราต้องหยุด ถ้าจะไปต่อต้องดูอีกทีว่าแนวโน้มเป็นอย่างไร มีกำไร หรือมีบริษัทเขามีแผนแบบไหนบ้าง
Q: ตอนนี้เริ่มมองการลงทุนอื่นๆอีกไหม แล้วแบ่งพอร์ตของตัวเองยังไง?
มีดูกองทุนนะ แต่ส่วนตัวคือชอบทำอะไรด้วยตัวเอง อย่างหนึ่งเลยที่ชอบการลงทุนเพราะการลงทุนทำให้เรากล้าตัดสินใจ ว่ามันต้องไปหรือมันต้องหยุด มันจะไม่มีการลังเล เพราะลังเลไปลังเลมา สุดท้ายมันจะพัง ต้องมีวินัย หยุดก็คือหยุด Cut ก็คือ Cut หรือบางทีเรามั่นใจว่าตอนนี้เราแค่กังวลไปเอง มันจะกลับมาแน่ๆ ก็ต้องรอหรือจะช้อนเก็บเพิ่มก็แล้วแต่
อีกอย่างที่มองไว้คือ ตอนนี้ก็มีรอคอนโดที่ลงทุนไว้จะเสร็จปลายปีนี้ จะเริ่มมี income อีกทางจากค่าเช่าที่เข้ามา จะเอามา Rotate เป็นซื้อหุ้นที่ปันผลระยะยาว 7-10 ปี เหมือนให้เงินมันต่อเงินไปอีก ส่วนเงินเดือนก็แบ่งเอาไว้เล่น รอ Capital gain ถึงเวลาก็ขาย
ส่วนพอร์ตจะแบ่งพอร์ตออกเป็น หุ้นเป็นกำไรปันผล ประมาณ 40-50% ส่วนหุ้นที่ต้องเช็คกราฟ ดูเทคนิคอล ก็ประมาณ 50% เลย จริงๆถือว่าเยอะเหมือนกันนะครับ เพราะว่าเป็นคนใจร้อนอ่ะ ไม่อยากรอ แต่ก็ต้องมีส่วนที่ Safe ที่ปลอดภัยเก็บไว้ด้วยเหมือนกัน เผื่อเวลาที่เราพลาดขึ้นมา
Q: แบ่งเวลายังไง ทั้งทำงานประจำ ทั้งลงทุน?
ตั้งแต่ตื่นนอนเลยครับ ก็หยิบมือถือมาเล่นอยู่แล้ว ก็จะเข้าแอพฯโซเชียลต่างๆ E-finance ดูเพจต่างๆอย่าง Stock2morrow (หัวเราะ) investor ก็คือเช็คข้อมูลหลายเพจ เช็คตลาดดาวโจนส์ ยุโรป อเมริกาว่าเขาไปถึงไหนกันแล้ว ทรัมป์เป็นยังไงบ้าง อย่างน้อยคือต้องผ่านตา ก็อ่านๆไป เอาตัวเข้าไปขลุกกับมัน อีกอย่างที่สำคัญคือถอนตัวเองออกมาจากเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์กับตัวเราเอง เรื่องบันเทิงอะไรพวกนี้มีบ้าง แต่น้อยมากๆ เราอยู่ในธุรกิจอยู่แล้ว นอกจากได้กับตัวเอง ข้อมูลพวกนี้ก็ต้องใช้ในการทำงานเหมือนกัน อย่างเราทำงานสายพัฒนาอสังหาฯ มันต้องดูทุกอย่างเลย พี่โด่งชอบพูดว่า ตำแหน่งผมเป็นหัวหมู่ทะลวงฟัน ต้องรู้ทั้งหมด ดูน้ำ ดูลม ดูอากาศ ดูชุมชน ผู้คน เราต้องรู้เร็วกว่าคนอื่น อย่างการอนุมัติของสายรถไฟฟ้าสายนั้นนี้ ต้องรู้ก่อน พอเที่ยงปุ๊บก็เช็คอีก เย็นก็เอาอีก เพราะว่าชอบอยู่แล้วด้วย แล้วมันก็เป็นส่วนหนึ่งของงานด้วย ทำให้มันแทบจะรู้ไปหมดว่าอย่าง สายรถไฟฟ้าสีนั้นจะโต สีนี้เปิดแต่ยังไม่ค่อยโต อีกสามปี ห้าปีโตก็ซื้อที่เก็งกำไรไว้ก่อนอีก 5 ปีค่อยขาย
Q: คิดว่าด้วยตำแหน่งของเรา จะเป็นประโยชน์กับการลงทุนมั้ย?
ผมว่าเป็นประโยชน์มาก เพราะธุรกิจที่ทำงานอยู่คือลงทุนคอนโด ทำให้เราเป็นคนที่ต้องรู้ อย่างอินไซต์ เรื่องราคาที่โซนไหนราคาเท่าไหร่ แพงมาก ถูกมาก ถ้ามีโครงสร้างพื้นฐานแล้วที่ยังราคาถูกมาก ก็จะมีคนไปรอ มันส่งผลให้เราได้ประมวลและเป็นประโยชน์ต่อตัวเราเอง ตรงนี้ยังไปได้ หรือตรงนั้นก็ไปได้นะแต่ต้องรอเวลา หรือตรงไหนรอไปเลยอย่าเพิ่งยุ่งตอนนี้ ต้องมีทั้ง Plan A B C รองรับ คิดว่าไม่กระทบเรื่องงานเลย ชอบมาก
Q: บอกเคล็ดลับการลงทุนของคุณพีทหน่อย?
ไม่เชิงเป็นเคล็ดลับนะ ผมว่ามันเป็นเรื่องของวินัย สมมุติว่าตั้งราคาไว้ว่าต้องขายตอนได้กำไร 5% ก็ต้องขาย ต้องหยุด หรือจะขายบางส่วนก่อน รอราคาย่อแล้วถึงกลับมาซื้อต่อ หรือคอนโดถ้า yield ราคาไปถึงที่กำหนดไว้ อย่างผมจะซื้อไว้ปล่อยเช่าแต่อยู่ๆมันขายได้ ใน yield ที่กำหนดไว้แล้วก็ขาย หรือแม้กระทั้งเวลาราคามันลง มีเลขในใจว่า ขาดทุนกี่เปอร์เซ็นจะขาย 3-5-7-10% แต่ละคนไม่เท่ากัน ต่อให้มีเรื่องราวว่ามันมีแนวโน้มที่กลับขึ้นมาได้ เราก็ต้อง Cut อย่าลังเล แม้ว่ามัน Cut แล้วขึ้นหรือลงก็ตาม แล้วค่อยวางแผนกันใหม่ เคล็ดลับคือต้อง “มีวินัยและเด็ดขาด” ที่สำคัญคือการเอาตัวเข้าอยู่กับมัน เข้าไปอยู่ในวงโคจรของมัน
Q: เชื่อว่ามากกว่า 50% ของคนในประเทศนี้ที่ยังไม่ลงทุน ยังกล้าๆกลัวๆ ฝากบอกอะไรพวกเขาหน่อย
ได้ยินมานานแล้วคำว่า “ให้เงินทำงาน” หลายคนมองว่าเป็นเรื่องไกลตัวมาก ผมอยากให้มองว่าเป็นเรื่องใกล้ตัวนะ วิธีการคือต้องพยายามเอาตัวเข้าไปขลุกกับมัน ใครพูดเรื่องนี้ขอเข้าไปฟัง เข้าไปอยู่ด้วย เพจต่างๆ คอนเท้นต์บทความ pantip.com ก็ได้ มีคนที่คิดเหมือนหรือต่างกับเราอย่างไร หรือเว็ป set ก็ได้ เขามีโมเดลให้ลองไปเทรดก่อน แต่มันจะไม่เท่าลงมือทำ แต่ก็ดีกว่าไม่เริ่ม อีกข้อหนึ่งที่ผมมองคือ สมัยนี้การแพทย์พัฒนาขึ้นมาก คนไม่ค่อยป่วย เราจะทำงานไปจนอายุ 50-60 ปีมันเหนื่อย ถ้าเริ่มตั้งแต่อายุน้อยๆ ขอยืมคำพี่โด่งมาใช้หน่อยนะครับ (ยิ้ม) แกจะชอบพูดว่า ช่วงวัยของพวกเราเนี่ยดีแล้ว Fail Fast /Learn Fast/ Fix Fast ล้มเร็ว เรียนรู้ใหม่ได้เร็ว และแก้ไขได้เร็ว ล้มตอนเด็กไฟมันยังมี แต่ถ้าไปล้มเอาตอนแก่ โห..ภาระที่จะตามมา มีลูกมีครอบครัว คนเสี่ยงไม่ใช่เราแต่คนเดียว จะเสี่ยงมากไม่ได้
อีกข้อเลยคือ ปีนี้ก็ 2019 แล้วนะครับ การเข้าถึงข้อมูลต่างๆ มันง่ายมาก มี Case Study ให้เรียนรู้ จากหนังสือก็ดี เว็ปอย่าง Pantip ก็ได้เข้าไปอ่าน มีทั้งคนที่ล้มเหลวและประสบความสำเร็จ วิธีการเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด คือการเรียนรู้จากชีวิต หรือแนวทางของคนอื่น เราจะเห็นว่ามันไม่ง่ายหรอก แต่แค่เงิน 1,000 บาทมันก็เริ่มลงทุนได้แล้ว บางคนที่คิดว่าต้องมีเงินเป็นแสน เป็นล้าน ตัวผมเองเริ่มแค่หลักพักหลักหมื่นเองก็ลงทุนได้เหมือนกัน 10% ของวันนี้อาจจะแค่ 1,000 บาทจากหมื่นเดียว มันจะรวมกับประสบการณ์อีก 5 ปี 10 ปี ที่คุณไม่จิตตก พอ Strong แล้ว มันจะทำให้เป็น 10% ของ 1แสน 1ล้านเองครับ..
นอกจากวิธีการลงทุนสไตล์พนักงานประจำที่คุณพีทได้บอกเล่ากับพวกเราแล้ว อีกหนึ่งความน่าสนใจของบทสัมภาณ์นี้คือ ความเป็นเด็กยุคใหม่ เป็นคน GenY ที่คุณพีทนำเสนอมันผ่านตัวตนของเขาเองได้ชัดเจน แม้จะเป็นคนใจร้อน อยากลองเองทำเอง เล่นหุ้นเอง แต่พอร์ตที่สร้างขึ้นก็ยังมี Safe Zone ที่ป้องกันความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในเส้นทางการลงทุน น่าจะเป็นข้อคิดดีๆ ที่ทำให้น้องๆที่เพิ่งจบใหม่ เพิ่งเริ่มทำงานกล้าเสี่ยงและตัดสินใจลงทุนไม่มากก็น้อย..เพื่อนๆคนไหนอ่านมาถึง EP.12 แล้ว มีการพัฒนาตัวเอง จากคนที่ไม่กล้าลงทุน ตอนนี้เริ่มไปพอร์ต หรือศึกษาบ้างแล้วหรือยังคะ บอกเล่าให้พวกเราฟังในคอมเม้นต์กันได้เลยนะคะ ..แล้วพบกันใหม่ EP หน้า