การลงทุน = ความรู้
My way my investment โปรเจกต์ดีๆ ที่พวกเราชาว stock2morrow ตั้งใจทำขึ้นเพราะเราเชื่อว่า #ทุกอาชีพลงทุนได้ ครั้งนี้เรามาพร้อมกับบทสัมภาษณ์ ของอาชีพพนักงานบริษัท ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่กล้าลงทุน เพราะกลัวที่จะขาดทุน มองตัวเงินเป็นหลักในการเริ่มต้นทำอะไรบางอย่างให้ชีวิต เพื่อนๆจะได้รับมุมมองใหม่ๆ จากบทสัมภาษณ์นี้ เพราะสิ่งหนึ่งเลยที่เราต่างมองข้ามมา และลืมนึกถึงเสมอ คือตั้งแต่ที่เริ่มลงทุน สิ่งเราได้รับทันทีคือ “ความรู้” ที่ยังไงก็ไม่มีทางขาดทุน ซึ่งคุณ น๊อต ธีรพจน์ ยังภู่ ผู้ให้สัมภาษณ์ในบทความนี้ เตือนสติให้พวกเราได้มากทีเดียวค่ะ
Q : แนะนำตัวเองให้พวกเรารู้จักหน่อย
สวัสดีครับ ชื่อน็อต ธีรพจน์ ยังภู่ ครับ ปัจจุบันเป็น Lead Technical Specialist (โปรแกรมเมอร์)
Q : เคยลงทุนอะไรมาบ้าง แล้วตอนนี้ลงทุนอะไรอยู่
เมื่อก่อน ช่วงแรกเลยเริ่มต้นจากการซื้อทองเก็บครับ และตอนนี้เปลี่ยนมาเป็นลงทุนในตลาดหุ้น
Q : อะไรเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เริ่มสนใจการลงทุน?
ที่เริ่มลงทุนเพราะว่าเรา เริ่มทำงานมาสักพัก และมีเงินเก็บมากขึ้น จากที่ช่วงแรกเราเรียนจบมาใหม่ๆ ก็ยังบริหารเงินไม่เป็น ใช้เดือนชนเดือนอยู่ตลอด พอทำงานถึงระยะหนึ่งแล้วมีเงินเก็บ ก็เลยรู้สึกว่าควรจะบริหารจัดการเงินก้อนนี้ให้มันงอกเงยขึ้นมาเพื่ออนาคตของเรา ที่ช่วงแรกสนใจคือทอง เพราะคิดเอาว่ายังไงทองคำ ก็คือทองคำ คืออย่างน้อยๆ เราเก็บไว้เราจะได้ใช้มันแน่นอนครับ
Q : แล้วจุดที่ทำให้คิดอยากจะเริ่มลงทุนอย่างอื่นนอกทางจากคำคือตอนไหน?
พอซื้อทองไปซักสักพัก ผมซื้อทองเป็นทองคำแท่งนะครับ เวลาขายก็ง่ายอยู่ครับ แต่ต้องเดินไปขายที่ร้านเท่านั้น สภาพคล่องค่อนข้างน้อย เลยมองหาการลงทุนอะไรมีสภาพคล่องมากขึ้น มองตัวเองว่าเราทำงานด้านซอฟแวร์ อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา น่าจะลงทุนอะไรที่สามารถซื้อหรือขายผ่านทางออนไลน์ได้ ก็เลยทำให้สนใจเรื่องหุ้นขึ้นมา
Q : พอลงทุนมาสักพักแล้ว คิดว่าสไตล์การลงทุนของตัวเราเองเป็นยังไง
หาตัวเองอยู่นานเหมือนกันว่า เราจะชอบแบบไหน การเล่นหุ้นพื้นฐานหรือเปล่า ก็ศึกษาการเล่นหุ้นแบบพื้นฐานอยู่สักพัก ปรากฎว่ารู้สึกเลย ว่าเราไม่เก่งด้านนี้ อ่านงบการเงินไม่เก่ง ไม่เข้าใจตัวบริษัท บางทีดูงบการเงินแล้วก็คิดเอาเอง เข้าใจเอาว่า ไตรมาสนี้และมันจะดี ราคาน่าจะขึ้น เราซื้อแบบจัดเต็ม ใส่หมดหน้าตัก แต่พอประกาศงบออกมา ปรากฎว่าราคาหุ้นมันลงก็ตกใจ ก็เป็นบทเรียนที่ดี สอนเราเหมือนกันว่า เราอาจจะรู้แล้ว แต่ยังรู้ไม่หมด เรารู้แต่รู้แค่บางอย่าง เลยลองเปลี่ยนตัวเองมาเป็นการเล่นหุ้นแบบเทคนิคคอล เป็นการดูกราฟดูอารมณ์ของตลาด ซึ่งมันจะไวขึ้นมาก ใช้เวลาในการได้เงินต่างกัน ลักษณะมันคือต่างกับการเล่นหุ้นพื้นฐานคนละแบบเลย ถ้า ณ ตอนนี้นะครับ ก็คิดว่าการเล่นหุ้นแบบเทคนิคคอลคือเป็นสไตล์ที่ตอบ เรามากสุด
Q : ที่ลงทุนมาเคยผิดพลาดบ้างไหม เล่าตอนนั้นให้ฟังหน่อย
ประสบการณ์ที่ผิดพลาดมีแน่นอนครับ หนักเหมือนกัน ความยากเลยคือ อับดันแรกเราผิดพลาดแล้วเราไม่รู้ว่าเราผิดพลาดตรงไหน ถ้าเรารู้ว่าเราผิดอะไร เราอาจจะยังสามารถไปแก้ไขในครั้งต่อไปได้ แต่ประเด็นคือเราไม่รู้ พอไม่รู้ ก็แก้ไขไม่ได้ แล้วก็สร้างความกลัวที่จะลงทุนให้ตัวเองเพิ่มขึ้นไปอีก
Q : หาวิธีแก้ไขสถานการณ์ตอนนั้นยังไง?
โชคดีที่มีกลุ่มเพื่อนที่ให้ความรู้อยู่ รวมทั้งตัวเราเองก็ไปศึกษาเพิ่มเติม จากคำแนะนำที่ได้มาก็คือทำให้รู้ว่าตรงไหน มันเกิดอะไรขึ้นที่คิดแบบนี้ หรืออะไรที่เข้าใจไปเอง แล้วทำให้มันผิดพลาด สุดท้ายก็เลยรอดมาได้ แล้วกลับมาใหม่ สำคัญเลยต้องพยายามทำความเข้าใจธรรมชาติของตลาดหลักทรัพย์ว่ามันเป็นยังไง เลยทำให้เปลี่ยนจากที่ล้มเลิกไป กลับมาสู้กับมันอีกสักตั้ง
Q : จุดไหนที่ทำให้เปลี่ยนความคิดจากที่ถอดใจ แล้วต้องกลับมาสู้อีกครั้ง
ด้วยนิสัยของเราเองเลยเป็นคนที่ว่า ถ้าไม่เข้าใจก็จะพยายามเข้าใจมันให้ได้ ถ้าเราเข้าใจแล้ว เราน่าจะทำไม่ผิดพลาด เหมือนครั้งที่เราเคยทำพลาดไปแล้ว เหมือนกับที่เราลองเล่นหุ้นพื้นฐานมาก่อน พอไม่เข้าใจ ก็เปลี่ยนมาเป็นการเล่นหุ้นเทคนิคคอลแทนที่เราเข้าใจมันมากกว่า จริงๆแล้ว คำว่า Sell on Fact มันก็มีนะครับ แต่เราไม่เข้าใจ ณ ตอนนั้นว่ามันคืออะไร ไม่ได้จะบอกว่าเล่นหุ้นพื้นฐานไม่ดี หรือเทคนิคคอลดีกว่านะครับ ทั้งสองแบบดีเหมือกัน แค่เราเหมาะ หรือทำความเข้าใจวิธีแบบไหนได้มากกว่า
Q : ตอนนี้ทำงานประจำไปด้วย และลงทุนไปด้วย เวลาแบ่งยังไง
ผมใช้คำว่า “ทำการบ้าน” ก็คือกลับไปดูกราฟ และวางแผนที่บ้านหลังเลิกงาน ก็คือตอนที่ตลาดปิดแล้ว จะซื้ออะไร ซื้อตรงไหน ดูความเสี่ยงว่ามันเสี่ยงมากไหม เรามีบทเรียนอยู่แล้วว่าถ้าเรามั่นใจและใส่เงินลงไปเยอะมาก ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะได้กำไรกลับมามากเสมอไป จะใช้เวลาหลังเลิกงานในการจัดสรร จัดการการลงทุน
Q : คิดว่าการมีอาชีพ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพของเราเอง หรือคนอื่นเป็นประโยชน์ หรือโทษกับการลงทุนอย่างไร
ผมคิดว่าทุกอาชีพเกี่ยวข้องกับการลงทุนตลอดเวลาอยู่แล้วไม่ว่าจะทำอะไร อย่างเช่น อาชีพค้าขาย ก็ต้องดูต้นทุน กำไร ซื้อมาขายไปราคาเท่าไหร่ดี มันมีหมดอยู่แล้ว อย่างอาชีพที่ผมทำ คือทำงานบริษัทที่เกี่ยวกับซอฟแวร์ อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา มันรวดเร็ว และง่ายในการติดตามผลของตลาด ผมมองว่ามันส่งเสริมในการเล่นหุ้นมากกว่า ไม่ได้ทำให้ลำบากอะไรครับ
Q : ปัจจุบันยังมีอีกหลายคนที่ยังไม่คิดที่จะลงทุน คุณน็อตคิดว่าการลงทุนต้องเริ่มจากอะไรคะ?
การลงทุนเป็นสิ่งใกล้ตัวนะครับ ถ้าอยากให้คนทั่วไปเริ่มเข้ามา ต้องให้ความรู้เรื่องการบริการจัดการเงินก่อน เพราะคนส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องการบริการจัดการเงิน ถ้าคุณรู้เรื่องการบริหารจัดการเงินแล้ว คุณจะให้ความสนใจเรื่องการลงทุนเพิ่มขึ้นเอง ตั้งคำถามเลย อย่างเช่น คุณรู้ว่าคุณต้องจัดการเงินบางส่วน สำหรับอนาคตตอนที่คุณแก่แล้ว มันจะเกิดคำถามต่อมาเลยว่า คุณจะทำอะไรกับเงินส่วนนั้น ซึ่งคำตอบมันหนีไม่พ้นการทำให้เงินมันงอกเงย ออกดอกออกผล ไม่ว่าเอาไปเล่นหุ้น เอาไปเปิดร้านค้าขาย เอาไปซื้ออสังหาฯปล่อยเช่า ทั้งหมดมันก็คือการลงทุน ซึ่งในประเทศนี้การสอนการบริการจัดการการเงิน มันไม่มีใครได้เรียนเลย ตอนที่เราเรียนตอนม.ปลาย ไม่มีใครมาสอนเรื่องเก็บเงินยังไง กว่าจะมารู้ก็ช่วงที่ทำงานไปได้ซักพัก แล้วมีเงินเก็บที่เก็บไว้นิ่งๆ ถึงจะคิดได้ว่าเอาไปทำอะไรดี จะปล่อยไว้เฉยๆ หรือเอาไปซื้อของที่อยากได้ หรือลงทุน ตอนนั้นแหละถึงเพิ่งมาหาความรู้ ซึ่งถ้าในความคิดผมเลย คือควรที่จะปลูกฝังความคิดในเรื่องการบริหารจัดการเงิน บรรจุเป็นหลักสูตรการศึกษาไปเลย ให้ทุกคนได้ตื่นตัว มันต้องเริ่มเรียนรู้จากการบริหารจัดการก่อน แล้วมันถึงจะต่อยอดไปได้เองครับ
Q : ช่วยบอกเคล็ดลับการลงทุนในฉบับคุณน็อตหน่อยค่ะ?
ของผมเอง ผมมองว่าเราต้องเข้าใจ ในสิ่งที่เรากำลังจะก้าวเข้าไป คือต้องพยายามเข้าใจและศึกษามันไปเรื่อยๆ พอเราเข้าใจการลงทุน หรือเข้าใจตลาดถึงจุดหนึ่งแล้ว มันจะถึงเวลาที่เราสามารถเดินตาม หรือใช้ประโยชน์จากสิ่งที่เราเข้าใจได้เอง
Q : ยังมีหลายคนที่ กล้าๆ กลัวๆ ยังไม่ลงทุนซักที มีอะไรจะฝากถึงพวกเขาไหม?
จริงๆแล้วอยากให้ลองศึกษาดูก่อน คนทุกคนที่เข้ามาในวงการ “การลงทุน” ไม่มีพูดแค่เฉพาะในตลาดหุ้นนะครับ แต่รวมไปถึงการลงทุนในด้านอื่นๆ อย่างการลงทุนด้านศึกษา การลงทุนด้านการเงินด้วยนะ ผมมองว่าการลงทุนให้ตัวเอง ไม่ว่าจะด้านใดมันเกิดประโยชน์ทั้งนั้น มันมีสิ่งที่เราได้แน่ๆ คือ “ความรู้” แล้วกำไร หรือ ขาดทุนค่อยมองตามที่หลังว่าผลมันเป็นยังไง ถ้ามองแค่ว่า เรากำไรไหม “ความรู้” ที่ได้ผมว่ามันเป็นกำไรที่คุณได้มาเลยตั้งแต่เริ่ม
แม้ว่าในทุกการลงทุน จุดเริ่มต้น หรือเทคนิควิธีการของแต่ละคนจะแตกต่างกัน แต่สิ่งหนึ่งเลยที่นักลงทุนมักพูดถึง และมองไปในมุมเดียวกัน คือ การลงทุนนั้นสำคัญกับตัวคุณเองมากจริงๆ และมันยิ่งสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้น เป็นธรรมชาติที่เรามักกลัวการขาดทุน ซึ่งสิ่งที่ต้องทำคือการอุดรอยความกลัวเหล่านั้น ด้วยการหาความรู้ ทำความเข้าใจให้ตัวเราเอง เป็นสิ่งที่คุณน็อตเน้นยำอยู่ตลอดการสัมภาษณ์ เชื่อว่าเพื่อนๆนักลงทุนจะได้เทคนิควิธีการไปปรับใช้กับการลงทุนของเพื่อนๆเอง รวมไปถึงวิธีการเปลี่ยนความคิดของตัวเองให้เริ่มที่จะกล้าลงทุนสำหรับเพื่อนๆที่ยังกลัวความเสี่ยงอยู่ แล้วครั้งหน้าเราจะพาเพื่อนๆไปพบการอาชีพไหน อย่าลืมติดตามกันนะคะ เพราะเราเชื่อว่า #ทุกอาชีพลงทุนได้