ETF เป็นกองทุนเปิดที่สามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เหมือนหุ้นตัวหนึ่ง ผู้ลงทุนจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลและส่วนต่างราคาตามดัชนีอ้างอิงที่กองทุน ETF นั้น ๆ ไปลงทุน ซึ่ง ETF นั้นจะอ้างอิงกับ ASSET ที่ไปลงทุนอาจจะเป็นดัชนีราคาหุ้นในหรือต่างประเทศก็ได้ หรือ จะเป็น ทองคำ น้ำมันก็ได้
ถึงแม้ ETF จะขึ้นชื่อว่าเป็นกองทุนรวมประเภทหนึ่ง แต่ก็มีคุณลักษณะที่พิเศษที่แตกต่างจากองทุนรวมโดยทั่วไป
1.สามารถซื้อขายด้วยราคา Real Time ไม่ต้องรอลุ้นราคากองทุน ณ สิ้นวัน ถือเป็นจุดเด่นสำคัญของ ETF ที่ทำให้ผู้ลงทุนเห็นราคา ETF และสามารถส่งคำสั่งซื้อขายได้ตลอดเวลา ที่ตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดทำการ อีกทั้งไม่ต้องรอ NAV ณ สิ้นวัน เหมือนกองทุนรวมโดยทั่วไป
2.เป็นเครื่องมือช่วยกระจายความเสี่ยงที่ต้นทุนต่ำ เพราะ ETF มีการกระจายการลงทุนไปยังกลุ่มหลักทรัพย์หลายตัวหรือหลายอุตสาหกรรม ซึ่งการลงทุนใน ETF 1 หลักทรัพย์ เสมือนกระจายเงินไปลงทุนในหลักทรัพย์ทั้งหมดที่เป็ส่วนประกอบของสินทรัพย์อ้างอิงนั้น
3.ช่วยลดความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์รายตัว และการเลือกหุ้นผิดตัวอีกด้วย (Stock Selection Error)
4.มีผู้ดูแลสภาพคล่อง บลจ. ผู้ออก ETF จะมีการแต่งตั้งผู้ดูแลสภาพคล่อง (Market Maker) เพื่อทำหน้าที่ส่งคำสั่งเสนอซื้อ และเสนอขาย หน่วยลงทุนของ ETF ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพื่อให้ราคา ETF เคลื่อนไหวเป็นไปตามมูลค่า ที่แท้จริงต่อหน่วยของกองทุน
5.บลจ. ผู้ออก ETF จะมีการประกาศรายชื่อและสัดส่วนของตะกร้าหลักทรัพย์หรือกลุ่มของตราสาร ที่ไปลงทุนเป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ผู้ลงทุนทราบและใช้ในการเพิ่มลดจำนวนหน่วยลงทุนได้ โดยผู้ลงทุนสามารถนำหลักทรัพย์ตามสัดส่วนที่ได้ประกาศไว้มาแลกเป็น ETF หรือขาย ETF แล้วขอรับเป็นหลักทรัพย์ได้ ตามเงื่อนไข ที่บริษัทจัดการแจ้งไว้ในหนังสือชี้ชวน
6.ได้ผลตอบแทนตามดัชนี ค่าบริหารจัดการต่ำ ETF ส่วนใหญ่มีนโยบายการบริหารจัดการลงทุนในเชิงรับ (Passive Management Strategy) ที่เน้นสร้าง ผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีหรือราคาของสินทรัพย์ที่กองทุนใช้อ้างอิงมากที่สุด ไม่ได้เป็นการบริหาร จัดการลงทุนในเชิงรุก (Active Management Strategy) เพื่อเอาชนะตลาดเหมือนกองทุนรวมส่วนใหญ่ จึงทำให้ ETF มีค่าใช้จ่าย ที่ต่ำ
ตารางด้านล่างนี้ จะช่วยให้ผู้ลงทุนเข้าใจถึงความแตกต่างระหว่าง... กองทุนรวมทั่วไป หุ้น และ ETF ชัดเจนยิ่งขึ้น
ETF ในตลาดหลักทรัพย์แบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลักดังนี้
1.EQUITY ETF มุ่งสร้างผลตอบแทนอ้างอิงดัชนีราคาหุ้นในประเทศ
- ESET50 & TDEX ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET50
- TH100 ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET100
- BSET100 ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีอัตราผลตอบแทนรวม SET100
- 1DIV ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี SET High Dividend
- ENGY & ENY ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีหมวดธุรกิจ SET Energy & Utilities
- EBANK ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีหมวดธุรกิจ SET Banking
- EFOOD ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีหมวดธุรกิจ SET Food & Beverage
- ECOMM ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีหมวดธุรกิจ SET Commerce
- EICT ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนีหมวดธุรกิจ SET ICT
- BMSCG ลงทุนในหุ้นของบริษัทขนาดกลางและเล็กที่มีการกำกับดูแลกิจการที่ดี
- BMSCITH ลงทุนในหุ้นที่เป็นส่วนประกอบของดัชนี MSCI Thailand
2.FOREIGN ETF มุ่งสร้างผลตอบแทนอ้างอิงดัชนีราคาหุ้นต่างประเทศ หรือกลุ่มหุ้นต่างประเทศ
CHINA ลงทุนในกองทุน W.I.S.E CSI300 China Tracker ETF ที่สร้างผลตอบแทนอ้างอิงดัชนี CSI300 ซึ่งเป็นดัชนีราคาหุ้นในประเทศจีน
3.GOLD ETF มุ่งสร้างผลตอบแทนอ้างอิงดัชนีราคาทองคำ
- GLD ลงทุนในกองทุน SPDR Gold Trust ที่สร้างผลตอบแทนอ้างอิงราคาทองคำแท่ง
- TGOLDETF ลงทุนในทองคำแท่งที่มีมาตรฐานความบริสุทธิ์ไม่น้อยกว่า 99.5%
4.BOND ETF มุ่งสร้างผลตอบแทนอ้างอิงราคาตราสารหนี้
- ABFTH ลงทุนในตราสารหนี้ที่ออกโดยรัฐบาลไทย ภาครัฐที่มี รัฐบาลไทยเป็นผู้ค้ำประกัน รัฐบาลของสมาชิก EMEAP หรือองค์กรระหว่างประเทศ ตามโครงการจัดตั้งกองทุนพันธบัตรเอเชียระยะที่สอง (Asian Bond Fund
เพื่อนๆ พอจะเข้าใจถึง ETF แล้วนะครับว่าคืออะไร สุดท้ายนี้ทางผู้เขียน อยากฝากไว้ให้เพื่อนๆ ลองพิจารณาถึง Product ตัวนี้ดูว่าน่าลงทุนขนาดไหน ส่วนตัวผู้เขียนเองมองว่าน่าสนใจมากเพราะเราซื้อ ETF ตัวเดียวเหมือนซื้อหุ้นหลายๆ ตัว ความเสี่ยงก็น้อยกว่าที่เราไปซื้อหุ้นเองทีละหลายๆ ตัวอีกครับ
อ้างอิง : ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย