สวัสดีครับเพื่อนๆ วันนี้ทางผู้เขียนไปอ่านมาเจอกลยุทธ์การลงทุนดีๆ เลยอยากจะมาแชร์ให้เพื่อนๆฟัง กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นแบบ Dividend Play เพื่อที่เพื่อนๆ จะได้นำไปปรับใช้ในชีวิตจริงกันนะครับ
ดร.นิเวศน์ พูดถึงการลงทุนในช่วงที่การเมืองไม่ชัดเจน ว่า การลงทุนแบบวีไอ หรือ ลงทุนหุ้นเน้นคุณค่าไม่ค่อยมีผลกระทบจากการเมืองเพราะเป็นการลงทุนในระยะยาว การเมืองจะกระทบกับชีวิตประจำวันมากกว่า
และบอกอีกว่า นักลงทุนแค่ทำสามเรื่องได้แก่
1.ลงทุนแบบ Value Investing ดูคุณสมบัติของหุ้นให้ครบถ้วน มีคุณค่าน่าลงทุนถึงจะซื้อ
2.ต้องคิดทำอะไรช้าๆ อย่าหวังรวยเร็ว
3.คิดถึงเรื่องปันผล ซึ่งปกติคนส่วนใหญ่ทำไม่ค่อยได้ เพราะหวังรวยเร็ว ชอบหุ้นที่มีลักษณะขึ้น ลงเร็ว ปันผลคือพื้นฐานที่แท้จริงของหุ้น กำไรหรือจะสู้ปันผลได้ (กำไรอาจเป็นเพียงตัวเลข แต่ปันผลได้แสดงว่าธุรกิจได้รับเงินสดเข้ามาจึงสามารถปันผลได้)
ดร.ลงทุนมากว่า 20ปี ซึ่งเริ่มลงทุนด้วยเงิน 10 ล้านบาท ในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง
ส่วนใหญ่หุ้นที่เลือกราคาถูกมาก ทำให้ได้ปันผลปีแรก 10% คือ 1 ล้านบาท 50% ก็มาใช้จ่ายค่าเทอมของลูกที่เรียน Inter ส่วนที่เหลือก็นำมาใช้จ่าย ซึ่งพอกับค่าใช้จ่ายในหนึ่งปี
บริษัทที่ลงทุนช่วงนั้น ได้แก่บริษัทที่ผลิตและขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปซึ่งขายดีในช่วงต้มยำกุ้ง คู่แข่งสู้ไม่ได้
หลักในการดูหุ้น
1.รายได้ ตรวจสอบรายได้ย้อนหลัง พบว่า รายได้มีแต่เพิ่มขึ้นตลอด ถึงแม้ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม ก็สามารถขึ้นราคาได้ เป็นข้อดีของบริษัทใหญ่ที่เป็นผู้นำ
2.รายได้เพิ่ม กำไรก็เพิ่มขึ้น และ ธุรกิจไม่ต้องลงทุนอะไรเพิ่มอีกแล้ว ปันผลก็เพิ่มทุกปี 20 ปีผ่านไป ถ้ามีขายหุ้นก็นำเงินไปซื้อหุ้นตัวอื่น เงินลงทุนทั้งหมดอยู่ในหุ้นล่าสุดปันผลปีนึงเกิน 100 ล้านบาท ลงทุนช่วงแรกอย่าคิดถึงกำไร และ อย่าถอนออกมาใช้จ่าย ให้ไปใช้เงินตอนหลังเกษียณยิ่งถ้าหาเงินได้ ก็ไม่ต้องไปยุ่งกับเงินลงทุนส่วนนี้
มีความสุขกับการที่เงินเติบโต
ส่วนเงินลงทุนระยะยาวในกองทุนรวม ดร.นิเวศน์ ก็ลงใน LTF,RMF ไม่ต่ำกว่า 15 ปีตั้งแต่เริ่มแรกโดยลงเต็มสิทธิ 15%ของรายได้ ตอนนี้ก็มีเงิน 10 กว่าล้านบาท ซึ่งพิสูจน์ได้ว่า การลงทุนระยะยาวในกองทุนรวมก็สามารถเกษียณได้ด้วย LTF,RMF
ส่วนกองทุนหุ้น SETHD นั้นก็น่าสนใจ เพราะหุ้นใน SETHD ส่วนใหญ่เป็นหุ้นขนาดใหญ่ ที่ปันผลได้ติดต่อกันอย่างน้อย 5 ปี และ กำไรโตอย่างสม่ำเสมอ ปันผลอย่างต่ำ 3-5% ดีกว่าดอกเบี้ยหุ้นกู้ของบริษัทใน SETHD ลงทุนระยะสั้น 2-3 ปี น่าจะ outperform แค่ปันผลก็คุ้มแล้ว
ดร.บอกว่า นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย แบ่งออกเป็นสองส่วน
1.นักเก็งกำไร และ รายย่อย ซึ่งจะลงทุนในหุ้นขนาดเล็กและขนาดกลาง ซึ่ง 10ปีที่ผ่านมาโตอย่างรวดเร็วและ PE ค่อนข้างสูง เพราะคนคาดหวังว่ากลุ่มนี้จะเติบโต ปรากฏว่าปีที่แล้ว พบว่าไม่เติบโต อย่างที่หวังราคาจึงปรับลงมาจาก PE 100 เป็น 50 เท่า โดยราคาลงมาถึง 50% ดังนั้น หุ้นกลุ่มนี้ยังไม่น่าสนใจเพราะ PE ยังแพงอยู่ถึงแม้ราคาลงมาเยอะ ให้รอไปก่อน ยังไม่ใช่ช่วงที่น่าลงทุน
2.กลุ่มนักลงทุนต่างประเทศ และ สถาบันในประเทศ ซึ่งลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่ซึ่ง operation ดีมาตลอดกำไรก็เติบโตมาเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ปันผล 4-6% ดูน่าสนใจ แถมบริษัทยังมั่นคงด้วยปีที่แล้วราคาหุ้นขนาดใหญ่ลงมา ดูน่าซื้อไปหมด โดยเฉพาะ SETHD ตลาดลงมา 10% แต่กลุ่มนี้รวมปันผล 4-5% ปรากฏว่าลงแค่ 1-2% PE ก็ต่ำเกือบสุดด้วย ความแข็งแรงของธุรกิจก็ดี โอกาสถูก disrupt ก็ยาก
กลุ่มธนาคาร ก็เริ่ม disrupt ตัวเอง กลุ่มวัสดุก่อสร้าง ไม่มีใครมา disrupt กลุ่มที่จะโดน disrupt ส่วนใหญ่เป็นบริษัทขนาดเล็กและขนาดกลางสำหรับคนที่ไม่ชำนาญในการลงทุนแบบหุ้นคุณค่า ก็สามารถซื้อกองทุนที่ลงทุนใน SETHD ได้ ก็สามารถที่จะเกษียณได้ลงทุนผ่านกองทุนรวม เหมือนอย่างประเทศที่พัฒนาแล้วนักลงทุนส่วนใหญ่กว่า 70% ลงทุนผ่านกองทุนรวมแบบ Index Fund
References
หวังว่าเทคนิคการลงทุนนี้จะช่วยเพื่อนๆ ได้ไม่มากก็น้อยครับ