ก.ล.ต. ประเทศสหรัฐฯ อาจจะเปิดไฟเขียวเกี่ยวกับ ด้วยการอนุมัติ Bitcoin Exchange-traded Fund เมื่อก่อนหน้านี้นาย Jay Clayton หรือประธานของ ก.ล.ต. สหรัฐฯได้ออกมากล่าวแสดงความเป็นห่วง รวมถึงสาเหตุที่คำขอ Bitcoin ETF นั้นยังไม่สามารถได้รับการอนุมัติได้ เนืองจาก ในเรื่องของการโจรกรรมข้อมูล การปั่นราคาและในเรื่องความปลอดภัย ล่าสุดนั้น ดูเหมือนว่าจะมีข่าวดีออกมาจากทาง ก.ล.ต. สหรัฐฯ ว่าจะเก็บข้อมูลและจะแก้ไขปัญหาเหล่านั้นด้วยตัวเองแล้ว
ธุรกิจเหล่านี้ควรที่จะ“ให้ข้อมูลด้าน blockchain เพื่อสนับสนุนความพยายามของ SEC ในการควบคุมและติดตามเกี่ยวกับความเสี่ยงและนโยบายต่างๆ เพื่อที่ป้องกันเรื่องของอาชญากรรมทางการเงิน นอกจากนี้ทาง SEC กำลังมองหาแหล่งข้อมูลที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการเก็บข้อมูล Blockchain Ledger
ซึ่งความเคลื่อนไหวดังกล่าวอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการอนุมัติ BITCOIN ETF แต่ทว่ามันเป็นจริงขึ้นมาอาจมีผลเสียกับพวกสถาบันการเงินเนื่องจากในเรื่องของความเป็นส่วนตัวและอิสรภาพเพราะมันจะกระทบถึงแก่นแท้ของเทคโนโลยี Blockchain
การออกประกาศชักชวนการลงทุนดังกล่าวมีขึ้นในช่วงที่ แผนกด้านการตรวจสอบทางกฎหมาย Office of Compliance Inspections and Examinations (OCIE) ที่ถือเป็นอีกหนึ่งหน่วยงานของทาง SEC ได้ออกมาประกาศว่าจะทำให้ cryptocurrency อยู่ในวาระสำคัญอีกด้วย
นอกเหนือจากนั้นพวกเขายังจะเฝ้าดูการ ซื้อขาย,แลกเปลี่ยน, และการจัดการบริหารสินทรัพย์ดิจิทัล
Bitcoin คืออะไร? Blockchain คืออะไร ?
ปัจจุบันโลกของเรา เวลาจะโอนเงินไปไหนมาไหน ถอน/ฝาก/โอน/จ่าย จะต้องผ่านตัวกลางคือ ธนาคาร เพราะธนาคารเป็นสิ่งเดียวที่จะรับรองกับเราได้ว่า มีการโอนจริง ฝากจริง ถอนจริง แล้วเราก็เชื่อตามนั้นเพราะธนาคารจะออกคำรับรอง (ก็คือสลิปหรือ statement นั่นเอง) โดยธนาคารก็เก็บค่าบริการแล้วแต่ความกรุณาของธนาคารนั้นๆว่าจะแพงมากน้อยแค่ไหน จนในปี 2008 เกิดวิกฤต ที่อเมริกา ค่าเงิน USD ตกต่ำเป็นประวัติการณ์ อยู่ดีๆพี่กันแกเลยแก้ปัญหาด้วยการบอกว่าจะ พิมพ์เงินเข้าระบบเพื่อทุกคนจะได้มีเงินไปใช้หนี้หรือจับจ่ายกันต่อไปนะ โดยไม่ต้องมีทองมารับประกันด้วยนะ ปั๊มกันมาลอยๆเลย จึงมีคนคิดว่า เห้ย งั้นจะสามารถเชื่อถืออะไรกับระบบการเงินที่ควบคุมโดยรัฐบาลได้อีกหรอ ท้ายสุดจึงมีคนที่ใช้ชื่อว่า Satoshi Nakamoto บอกว่า ไม่ไหวล่ะ จะใช้จ่ายเงินสดโอนข้ามประเทศอะไรก็โดนค่าธรรมเนียมแพงๆแบบไม่มีเหตุผล จะออมเงินไว้เฉยๆฝากกินดอกเบี้ยใช้ตอนแก่ๆ ก็ไม่มั่นใจล่ะ เพราะอยู่ๆก็พิมพ์เงินออกมาใหม่จนเกิดเงินเฟ้อลดค่าเงินที่กูออมไปหมดสิ้น งั้นนี่เลย ขอเปิดการ์ดที่หมอบไว้
พูดง่ายๆขึ้นอีกคือ คุณซาโตชิกำหนดเงิน Bitcoin ขึ้นมาบนโลก Internet (สกุลเงินที่มีอยู่แต่ในระบบ Internet) และ แทนที่จะให้ธนาคารเป็นคนโอน แกใช้เทคโนโลยี Blockchain เป็นระบบในการโอนเงินนี้ต่อกัน
Blockchain คือเทคโนโลยีในการจัดเก็บข้อมูลรูปแบบหนึ่ง ที่มีลักษณะเป็นบล็อกเรียงต่อกันเป็นสาย แต่ละบล็อกก็จะมีชุดข้อมูลที่สามารถเชื่อมโยงไปยังบล็อกก่อนหน้าได้ ดังนั้นก็เลยเรียกว่า Blockchain ง่ายๆแค่นั้นเอง Blockchain ไม่ได้ใช้ได้เฉพาะแต่กับระบบทางการเงินเพียงเท่านั้น แต่ยังสามารถนำไปประยุกต์กับระบบอื่นๆ ได้อีกด้วย ลองคิดดูว่าอะไรก็ตามที่เคยต้องรวมศูนย์และทำผ่านตัวกลางเพียงตัวเดียวเท่านั้น Blockchain สามารถทดแทนและใช้ทรัพยากรน้อยกว่าได้ทั้งหมด
สรุปจุดดีของ Bitcoin คือ
-ไม่มีการพิมพ์ใหม่หรือสร้างขึ้นใหม่ได้ ไม่ต้องกังวลว่านโยบายทางการเงินของประเทศอะไรเป็นยังไง ต่อให้ทุกประเทศในโลกบริหารการเงินผิดพลาด เงินเฟ้อไปทุกสกุล Bitcoin ก็ยังอยู่ที่เดิม ไม่เฟ้อตาม
-เป็นการทำธุรกรรมที่ เร็ว และ ถูก
-ไม่สามารถเรียกคืนได้ (บัตรเครดิตยังเรียกเงินคืนได้ หรือระงับธุรกรรม)
-ไม่มีเอกสารให้ยุ่งยาก ไม่มีอะไรตามถึงเจ้าของได้
-เชื่อถือได้ และไม่มีทางจะโกงระบบได้
สรุปจุดเสียของ Bitcoin
-ไม่มีใครรองรับว่าจะสามารถมาชำระหนี้ได้ (แต่สามารถแลกเป็นเงินสกุลท้องถิ่นได้)
-อาจจะเกิดภาวะเงินฝืดถ้าถึงวันที่หา Bitcoin ไม่ได้แล้ว
-ไม่สามารถใช้ได้เป็นวงกว้างในปัจจุบัน
อ้างอิงข้อมูลจาก