#แนวคิดด้านการลงทุน

Blitzscaling: หนังสือธุรกิจควรอ่าน

โดย ดร. ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์
เผยแพร่:
127 views

ในปีที่ผ่านมาผู้เขียนได้มีโอกาสอ่านหนังสือธุรกิจอยู่หลายเล่ม แต่ไม่มีเล่มไหนเขียนได้น่าสนใจและเจาะประเด็นความสำเร็จของธุรกิจ “ยุคใหม่” ได้เท่ากับ Blitzscaling: the Lightning-Fast Path to Building Massively Valuable Companies โดย Reid Hoffman และ Chris Yeh บทความนี้จะสรุป 3 บทเรียนสำคัญจากหนังสือเล่มนี้ ว่าเคล็ดลับของธุรกิจที่โตไวแบบความเร็วแสงนั้นคืออะไร อะไรทำให้บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google Apple Microsoft Amazon Facebook รวมถึงบริษัท Tech company ใน Silicon Valley ได้เติบโตอย่างรวดเร็ว และกลายมาเป็นบริษัทแนวหน้าของโลกได้ในเวลาอันสั้น

1.Blitzscaling แปลว่าอะไร?
“Blitzscaling” มาจากการประสมกันของสองคำ คือ “Blitz” ในภาษาเยอรมันที่แปลว่าสายไฟฟ้า และ “Scaling” ซึ่งย่อมาจาก “scaling up” คือการขยายส่วนต่าง ๆ เช่น แรงงาน หรือวัสดุ ให้ได้สัดส่วนกัน เมื่อนำสองคำนี้มารวมกันแล้ว จึงหมายถึงกลยุทธที่ตั้งเป้าให้บริษัทไม่เพียงแต่จะต้องเติบโตอย่างรวดเร็วและก้าวกระโดด แต่ยังต้องขยายส่วนต่าง ๆ ของบริษัทให้สอดคล้องรองรับต่อการเติบโตนั้น เพื่อให้การเติบโตเป็นไปอย่างยั่งยืนด้วย

2.ช้าๆ ไม่ได้พร้าเล่มงาม 
แนวทางกลยุทธแบบ Blitzscaling มีลักษณะหลักๆ คือให้ความสำคัญกับความเร็วมากกว่าประสิทธิภาพ (efficiency)
โดยจุดมุ่งหมายหลักของกลยุทธนี้คือการยึดครองตลาดให้ได้มากที่สุดก่อน ผิดกับแนวคิดทั่วไปที่ต้องการขยายอาณาจักรแบบค่อยเป็นค่อยไป ค่อยๆ ทำให้สาขาปัจจุบันเยี่ยมยอด ได้เกรด A+ ก่อนค่อยขยายไปยังสาขาหรือตลาดต่อไปกลยุทธ Blitzscaling ใช้วิธีทุบหม้อข้าว กระหน่ำลดราคาอย่างมาก บางทีต่ำกว่าต้นทุนจนหรือขยายสาขาแบบก้าวกระโดดจนไม่มีคู่แข่งไหน “บ้า” ทำตามด้วยแน่นอนว่าวิธีนี้อาจแลกด้วยความเสี่ยงที่สูงมาก แต่ผลลัพธ์ที่ได้สามารถทำให้ธุรกิจมี First-scaler advantage สร้างจุดแข็งให้ธุรกิจจนสามารถยึดครองตลาดและกีดกันคู่แข่งออกจากตลาดได้โดยปริยาย

3.Network Effect เป็นปัจจัยสำคัญที่ต่อยอด first-scaler advantage
หนึ่งในตัวตัดสินว่าธุรกิจจะบรรลุเป้าหมายระยะยาวของ Blitzscaling หรือไม่คือความสามารถในการทำให้เกิด Network Effect ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อจำนวนผู้ใช้สินค้าและบริการมีมากขึ้น ทำให้ Value ของ Product นั้นๆ สูงขึ้นด้วย หนังสือเล่มนี้ยกตัวอย่างคุ้นหูเช่นแอพพลิเคชั่นเรียกรถอย่าง Grab เมื่อมีผู้เรียกรถสูงขึ้น ทำให้มีคนขับสนใจเข้ามาลงทะเบียนมากขึ้น และเมื่อคนขับมีมากขึ้น ทำให้ผู้ใช้ได้รับบริการที่รวดเร็วและดีขึ้น ผลลัพธ์ทั้งสองทางทำให้เกิด positive feedback loop ซึ่งสร้างจุดแข็งให้ธุรกิจเพื่อยึดครองตลาดได้ง่ายยิ่งขึ้น ทั้งนี้ยังมีอีกหลายกรณี เช่น Airbnb ในตลาดที่พักอาศัย Tinder ในตลาดหาคู่ ฯลฯ เทคนิคที่หลายๆ ธุรกิจจำพวกนี้ใช้คือการทำการแย่งชิงลูกค้าแบบ “viral” เช่นการให้ส่วนลดเมื่อผู้ใช้งาน/ลูกค้าแชร์บริการกับเพื่อนฝูงและเพื่อนฝูงถูก “convert” มาเป็นผู้ใช้งานรายใหม่เมื่อธุรกิจสามารถสร้าง Network ให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ก็จะสามารถเข้าถึงลูกค้าจำนวนมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งนี้ธุรกิจประเภท techonology ทุกวันนี้ถือว่าได้เปรียบในจุดนี้ เนื่องจาก product สามารถสร้าง Network Effect ได้ทุกที่ทุกเวลาโดยอาศัยเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ทำให้ขนาดตลาดเติบโตได้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างแทบไร้ขีดจำกัด

4. กำไรขั้นต้นนั้นสำคัญ
การทุบหม้อข้าวแล้วบุกเป็นอะไรที่ง่าย ขอเพียงมีทุนหนา ปัญหาคือการทุบหม้อข้าว แต่ไส้ในเทคโนโลยีไม่สมบูรณ์ หรือ core business model ไม่ก่อให้เกิดกำไร นั่นไม่ใช่ Blitzscaling อีกเคล็ดลับที่เป็นเชื้อเพลิงในการโต้แบบ Blitzscaling คือการตั้งเป้าให้มีกำไรขั้นต้นที่สูงหนังสือเล่มนี้ยกตัวอย่างที่ในขณะที่บริษัทผู้ผลิตยักษ์ใหญ่อย่าง GE มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 27% แต่บริษัท Tech company อย่าง Google และ Facebook มีกำไรขั้นต้นสูงถึง 61% และ 87% ตามลำดับ แสดงถึงข้อได้เปรียบของ Tech company ในการใช้กลยุทธ์รูปแบบนี้ ที่จะเอาเงินส่วนนี้ไปใช้ในกลยุทธ์ Blitzscaling ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
อีกทั้งตัวเลขนี้ก็ยังทำให้สามารถดึงดูดนักลงทุนได้มากขึ้น แน่นอนว่านักลงทุนจะต้องสนใจลงทุนในบริษัทที่มีกำไรมากกว่า ทำให้บริษัทนั้นมีเงินทุนในการพัฒนารวมถึงทำกลยุทธ์ดังกล่าวได้มากยิ่งขึ้นอีก ไม่ว่าจะเป็นการขยายธุรกิจอย่างบ้าคลั่งหรือการช่วงชิงลูกค้าจากคู่แข่งอย่างไม่เหลียวหน้าแลหลัง แม้ว่ากลยุทธ์ Blitzscaling นี้จะเหมาะสมที่สุดกับธุรกิจ tech แต่ก็สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจทั่วไปได้เนื่องจากผู้เขียนมองว่าในอนาคต ธุรกิจทุกประเภทคงหลีกหนีความเป็น tech ไม่ได้ และถึงแม้จะไม่ได้ทำธุรกิจ tech เอง การทราบถึงกลยุทธ์เหล่านี้จะทำให้ธุรกิจ “โลกเก่า” สามารถหาพาร์ทเนอร์หรือ startup ecosystem มาสนับสนุนตัวเองได้ดีขึ้น


ผู้เขียนเป็นเจ้าของเว็บไซต์ settakid.com ที่วิเคราะห์ประเด็นเปลี่ยนโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์แบบเข้าใจง่ายๆ  คุณ ณภัทร จบปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลและจอนส์ ฮอปกินส์ เคยมีประสบการณ์ทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดและธนาคารโลก และสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์อยู่ที่มหาวิทยาลัยมินนิโซต้า เป็นนักเขียนรับเชิญของ stock2morrow และเป็นคอลัมนิสต์ประจำสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง