#แนวคิดด้านการลงทุน

ประวัติศาสตร์ "ตลาดหมี" หุ้นดาวโจนส์ บอกอะไรเรา ?

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
104 views

มีบทความที่น่าสนใจมาแชร์ให้อ่านครับ ชื่อว่า A History of Bear Market Bottoms ประวัติศาสตร์หุ้นดาวโจนส์ที่ได้รับการบันทึกว่าคือตลาดหมีเป็นอย่างไร และวิธีการดูว่ามันผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วหรือยัง จะกลายเป็นขาขึ้นรอบใหม่เมื่อไร

คนเขียนกล่าวว่า ตลาดหุ้นที่จะบอกได้ว่าเป็นตลาดหมีแล้ว คือตกลงมาจากจุดสูงสุดมากกว่า 20% ถูกบันทึกไว้หลายครั้งแต่ละครั้งมีสาเหตุที่แตกต่างกัน แน่นอนว่าการอธิบายสาเหตุที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการ "พูด" สิ่งที่ผ่านมาแล้ว ไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดตลาดหมีขึ้น

และนี้คือ 10 ข้อ ที่ประวัติศาสตร์ "ตลาดหมี" ได้บอกเราไว้ครับ

1. ตั้งแต่ปี 1970 - ปัจจุบัน มีตลาดหมีมากกว่า 50 ครั้ง แต่ทุกครั้งตลาดก็จะกลับมาเสมอ ถ้าไม่อย่างนั้นดัชนีดาวโจนส์จะวิ่งขึ้นมาแตะระดับ 20,000 จุด ได้อย่างไร ทั้งทีในปี 1970 ดัชนีดาวโจนส์อยู่ระดับ 600 - 700 จุดเท่านั้นเอง

2. การตกแต่ละครั้ง ไม่มีใครรู้ล่วงหน้า และไม่มีใครขายหุ้นหมดพอร์ตก่อนที่ตลาดหุ้นจะเป็นตลาดหมี

3. การตกแต่ละครั้ง จะมีเหตุผลใหม่ๆมาอธิบายอยู่เสมอ เช่นในปี 1970 เป็นช่วงวิกฤตหุ้นกลุ่ม 50 บริษัทยักษ์ใหญ่ที่เรียกว่า Nifty Fifty มีราคาสูงจนเกินไป ในช่วงปี 1990 เกิดวิกฤต Enron ทำให้ตลาดหุ้นซบเซา นักลงทุนขาดความเชื่อมั่น ช่วงปี 2000 เกิดวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ วิกฤต Lehman Brother วิกฤตพันธบัตรรัฐบาลของ Salomon Brother เป็นต้น จะเห็นได้ว่ามีเหตุการณ์ใหม่ๆเกิดขึ้นอยู่เสมอ

4. ทำเงินในตลาดหุ้น "ไม่ง่าย" ไม่ว่าจะเป็นนักเก็งกำไร หรือลงทุนระยะยาว

5. ไม่มีใครรู้จุดต่ำสุดของตลาด หรือแม้แต่ "รูปแบบกราฟ" ที่บ่งชี้ได้ว่าตลาดหุ้นกลับตัวแน่นอน

เช่นในปี 1970 หุ้นตกลงมามากกว่า 36% กินเวลาถึง 4 เดือน อยู่ที่ 650 จุด ก่อนที่จะกระโดดพุ่งขึ้นมาอย่างแรงเป็น 700 จุด ภายในวันเดียว หุ้นก็ไม่เคยกลับไปแตะที่ 650 จุดอีกเลย

ในเดือนมีนาคม ปี 1980 หุ้นลงมากถึง 20.5% จนถึงเดือนเมษายน ไซด์เวย์ต่ออีก 1 เดือน นักวิเคราะห์ในวอล์สตรีทวิเคราะห์ว่าดาวโจนส์กำลังจะเจอกับตลาดหมีรอบใหม่ ... หลังจากนั้นดัชนีดาวโจนส์ได้พุ่งอย่างแรงถึง 4.9% เรียกได้ว่าเป็นการพุ่งขึ้นอย่างแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ดัชนีดาวโจนส์ (The Greatest Bull Markets in history.)

ในปี 1984 ดัชนีเปิดปีใหม่ด้วยการร่วงลงมาแรงถึง 16.9% กินเวลานานถึง 8 เดือนเต็ม คนในตลาดเต็มไปด้วยความหดหู่ มองไปที่ไหนก็มีแต่คนขายหุ้น เข้าสู่เดือนสิงหาคม ดัชนีดาวโจนส์ได้พุ่งกลับขึ้นไปอย่างแรงใน 4 วัน ก่อนจะไซด์เวย์ไปจนจบปี นักวิเคราะห์กล่าวว่าการกลับตัวรอบนี้เกิดจากกราฟทำรูปแบบ Triple Bottom อย่างที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต (ไม่รู้ว่าอดีตตรงไหน ?)

6. การไม่มีหุ้นในวันที่หุ้นลงแรงอาจจะเป็นเรื่องที่ดี แต่ถ้าเราไม่มีหุ้นในวันที่หุ้นพุ่งขึ้นอย่างแรงซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน เป็นเรื่องที่น่าเสียดายยิ่งกว่า

กราฟหุ้นตลาดหมีของ SET Index สุดท้ายจะจบลงด้วยการทำ All Time High ถึงแม้จะใช้เวลายาวนานถึง 24 ปี (1994-2018)
ที่มาภาพ : Bisnews Professional

7. กราฟหุ้นอาจจะบ่งบอกเรื่องราวของหุ้นตัวนั้นๆ แต่ไม่ได้ใช้สำหรับทำนายอนาคต

8. IQ ในการเลือกหุ้นเป็นสิ่งสำคัญ แต่ความฉลาดทางอารมณ์หรือ EQ เป็นเรื่องสำคัญกว่า

9. เราห้ามไม่ให้ตลาดหุ้นลงได้ แต่เราเตรียมพร้อมมากแค่ไหนกับการลงของหุ้น เช่นนักเก็งกำไรอาจจะหาจุดคัตลอสและขายทิ้งทำตามวินัย นักลงทุนอาจจะซื้อหุ้นที่มี Margin of Safety มากและการลงของหุ้นอาจจะเป็นโอกาสที่ดีในการซื้อเพิ่มพร้อมกับรับปันผลในอัตราที่มากขึ้น

10. ถึงแม้ตลาดจะลงหนักขนาดไหน แต่สุดท้ายแล้วจะจบด้วยการขึ้นอย่างแรง และทำจุดสูงสุดใหม่เสมอ ..

นี้ก็เป็นเรื่องราวที่อยากนำมาแชร์ให้ได้อ่านกันครับ

== สรุป ==
คำถามสำคัญที่คนถามในตลาดหุ้นมากขึ้น ตลาดหมีจะมาเมื่อไร และจะกลับมาเป็นขาขึ้นได้ตอนไหน .. ? 
ซึ่งไม่มีใครรู้ จะรู้ก็ต่อเมื่อได้ผ่านมันมาแล้ว แต่สิ่งสำคัญที่เราทำได้คือ "เตรียมพร้อม"

ตลาดหมีก่อกำเนิดขึ้นมา จบลงด้วยการพุ่งขึ้นอย่างแรงและทำจุดสูงสุดใหม่เสมอ .. นี้คือสิ่งที่ประวัติศาสตร์ได้บอกเราเอาไว้ครับ

 

ถ้าใครสนใจอยากจะอ่านฉบับเต็มก็อ่านได้ที่นี้เลยครับ A History of Bear Market Bottoms


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง