อ่านบทความตอนแรกได้ที่ >>> https://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=1805
16. "หุ้นวัฐจักร" จะสร้างผลตอบแทนได้อย่างงดงามให้กับนักลงทุนถ้าคุณซื้อในจุดต่ำสุด (P/E ratio สูงๆ) ในขณะเดียวกันมันจะเป็นยาพิษสำหรับนักลงทุนที่ไปซื้อตอนจุดสูงสุด (P/E ต่ำๆ)
17. "การเปลี่ยนชื่อของบริษัท" ก็เหมือนกับการเปลี่ยนชื่อของคน มีเหตุผลอยู่ 2 อย่าง นั้นคือ 1. พวกเขาแต่งงาน เลยต้องเปลี่ยนนามสกุล และ 2. พวกเขามีบางสิ่งบางอย่างที่เลวร้ายในอดีตและอยากจะให้สังคมลืมๆมันไป
18. การลงทุนเป็นเรื่องที่สนุกและชวนให้หลงใหล ในขณะเดียวกันมันก็อันตรายมากถ้าคุณเป็นพวกที่ไม่ชอบศึกษาค้นคว้า
19. ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา ตลาดหุ้นวอลสตรีทเต็มไปด้วยนักวิเคราะห์ชั้นเซียน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล แต่เมื่อพวกเขามาลงทุนแล้วกลับลงทุนไม่ได้เรื่อง ข้อเท็จจริงนี้อาจจะบ่งบอกอะไรได้บางอย่าง ในบางครั้งการเพิกเฉยต่อข่าวร้ายๆก็เป็นความสามารถที่นักลงทุนต้องมี
20. เบื้องหลังของหุ้นทุกตัว มีบริษัทผูกติดอยู่กับมัน จงค้นหาว่าพวกมันทำมาหากินอย่างไร ถ้าบริษัทดี หุ้นก็จะดีไปด้วย แต่ถ้าบริษัทแย่ หุ้นก็จะแย่ตามไปด้วยเช่นเดียวกัน
21. กฏของการลงทุนในหุ้นข้อสำคัญที่สุด คือ จงอดทน! เมื่อคุณทำเงินจากมันได้ 10 เท่า และมองย้อนกลับมาคุณจะคิดเสมอว่า "คุ้มค่ามาก"ที่เราอดทนรอ
22. การมีหุ้นก็เหมือนกับมีลูก การมีลูกมากเกินไปจะสร้างเรื่องปวดหัวให้กับคุณ นักเล่นหุ้นบางคนติดตามบริษัทแค่ 8-12 บริษัท พวกเขาก็กลายมาเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้แล้ว นักลงทุนรายย่อยไม่มีความจำเป็นต้องตามหุ้นเป็น 100 ตัวอย่างที่สถาบันกองทุนเขาทำกัน
23. ถ้าคุณไม่สามารถหาหุ้นที่น่าสนใจได้ จงเอาเงินไปเก็บไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์
24. หลีกเลี่ยงหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมร้อนแรง จากประสบการณ์ของผม หุ้นตัวไหนที่โดยกย่องว่าจะเติบโตเป็นเลขสองหลัก นั้นคือเวลาที่เป็นจุดสูงสุดของหุ้นตัวนั้นๆ ธุรกิจไม่สามารถจะโตเป็นเลขสองหลักได้ทุกปี
25. การที่คุณคิดว่าอุตสาหกรรมบางอบ่างอาจจะฟื้นตัวได้เร็วๆนี้ ขอให้คุณรอให้มันฟื้นตัวก่อนค่อยเริ่มต้นลงทุนก็ยังไม่สาย อุตสาหกรรมรถม้าและทำวิทยุเคยถูก "คาดหวัง" ว่าจะฟื้นตัว แต่ในความเป็นจริงแล้วมันไม่เคยกลับมาฟื้นตัวอีกเลย
26. การตกลงอย่างหนักของตลาดหุ้นเป็นปรากฏการณ์ปกติ ก็เหมือนกับการมีฝนตกหรือแดดออก มันจะทำอะไรคุณไม่ได้ถ้าคุณมีความเตรียมพร้อม ยิ่งกว่านั้นมันยังเป็นโอกาสให้คุณซื้อหุ้นตัวโปรดในราคาที่มีส่วนลดจากคนที่ตื่นตระหนกตกใจขายมันอีกด้วย
27. คนทุกคนมี IQ ในการวิเคราะห์บริษัท แต่มีน้อยคนนักที่จะมี EQ มากเพียงพอจะลงทุนในหุ้นและปล่อยให้ตลาดสร้างความโลภและความกลัว ถ้าคุณเป็นบุคคลประเภทพร้อมจะขายทุกสิ่งทุกอย่างในวันที่ตลาดหุ้นตก คุณไม่เหมาะที่จะลงทุนในหุ้น รวมถึงกองทุนรวมหุ้น
28. ในระยะยาวแล้ว พอร์ตโฟลิโอที่ประกอบไปด้วยหุ้นสามัญชั้นเยี่ยม รวมถึงกองทุนรวมหุ้น จะสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าตราสารหนี้ หรือกองทุนตราสารหนี้ชนิดที่ไม่เห็นฝุ่น
29. เมื่อคุณเจอหุ้นที่น่าสนใจ คุณซื้อมันเข้าพอร์ต มันอาจจะลงต่อไปได้อีก ผมเคยซื้อหุ้นตัวหนึ่งที่ราคา 12 เหรียญ มันลงไปจุดต่ำสุดที่ 2 เหรียญ ก่อนที่จะพุ่งขึ้นไปที่ 30 เหรียญ คุณไม่มีทางรู้หรอกว่าจุดต่ำสุดของราคาหุ้นอยู่ที่ตรงไหน
30. ตอนที่ผมทำงานอยู่ใน Fidelity ผมมักจะได้รับเชิญไปร่วมเสวนาทิศทางตลาดและหุ้นรายตัวที่พร้อมจะระเบิดในอีก 1 เดือนข้างหน้า ที่จริงแล้วพวกเขาไม่ได้เรียกพวกเรามาเสวนา แต่เรียกพวกเรามา "ร่วมกันกังวลใจ" น่าจะเหมาะสมกว่ามาก
เวลาหุ้นขึ้นแรงๆ เหล่านักวิเคราะห์ก็จะบอกว่าหุ้นมีการขึ้นมาเยอะแล้วจะมีแรงเทขายทำกำไร ให้ชะลอการลงทุนไว้ก่อน…. ถ้าเมื่อใดหุ้นตกลงไปแรง แทนที่พวกเขาจะเชียร์ให้เราซื้อหุ้น พวกเขากลับบอกว่า "การตกลงมาแรงครั้งนี้ทำให้ผมนึกถึงเมื่อ 2 ปีก่อนที่อเมริกาเข้าสู่ภาวะถดถอย ให้ชะลอการลงทุนไว้ก่อน…" ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม ข่าวร้ายๆจะมีอยู่ทุกที่และตลอดเวลา ถ้านักลงทุนเชื่อนักวิเคราะห์เหล่านั้น คุณก็จะไม่มีวันได้ซื้อหุ้นเลยเพราะจะต้อง "ชะลอการลงทุนไว้ก่อน" อยู่เสมอ
เส้นแบ่งแยกระหว่างนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จและนักลงทุนผู้พ่ายแพ้ ไม่ใช่ความเฉลียวฉลาด การอ่านงบการเงิน หรือแม้แต่การหาจังหวะที่เส้นกราฟตัดกันไปมา แต่เป็นการเพิกเฉยต่อข่าวร้ายๆที่เกิดขึ้นในวอลสตรีทต่างหาก