เริ่มต้นสัปดาห์แรกของการลงทุนปี 2019 แล้ว นักลงทุนหลายท่านคงได้ทบทวนเหตุการณ์ หรือสิ่งที่เกิดขึ้นในการลงทุนในปีที่ผ่านมา (ปี 2018) ว่าเป็นอย่างไรกันบ้าง แน่นอนว่า หลายคนอาจจะประสบกับผลตอบแทนที่อาจจะไม่สู้ดีนัก เนื่องจากผลตอบแทนของดัชนีหลักทรัพย์ไทย หรือ SET Index ที่ไม่สดใส สำหรับปีที่ผ่านมา แม้แต่กองทุนใหญ่ๆ ที่บริหารจัดการด้วย Fund Manager อย่างมืออาชีพ ยังสร้างผลตอบแทนที่ติดลบได้ ดังนั้น จึงขอเป็นกำลังใจให้กับนักลงทุนทุกท่านผ่านพ้นอุปสรรคในการลงทุนในปีเก่าไปได้ และเริ่มต้นใหม่กับการลงทุนปัจจุบัน
บทความนี้ ได้รวบรวม 5 เหตุการณ์สำคัญๆ ที่เกิดขึ้นในตลาดหุ้นตลอดช่วงปีที่ผ่านมา มีอะไรกันบ้าง ไปดูกัน
1 ผลตอบแทนปี 2018 นับเป็นอีกปีนึง ที่ปีที่ผ่านมาเป็นตลาดที่ลูกหมีตัวเล็ก ได้คลืบคลานเข้ามาวิ่งเล่นในตลาดหุ้นเรา โดยผลตอบแทนตลาดหลักทรัพย์เฉลี่ยหรือ SET Index ช่วงปีที่ผ่านมา ติดลบ 10.82% ขณะที่ SET50 TRI ติดลบ 5.23% แต่ที่สร้างความแปลกใจสูงสุดคงเป็นผลตอบแทนของ Mai TRI มีผลตอบแทนเฉลี่ยติดลบมากถึง 32.80% ทำให้นักลงทุนที่มีหุ้นขนาดเล็กในพอร์ตในสัดส่วนการลงทุนมาก จะเสียหายมากกว่าพอร์ตที่มีการลงทุนกับหุ้นขนาดใหญ่ นอกจากนั้น หุ้นในกลุ่มที่มีผลตอบแทนติดลบสูงสุดได้แก่ กลุ่ม สินค้าอุปโภคบริโภค, เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร และเทคโนโลยี มีผลตอบแทนติดลบ 22.38%, 49% และ 11.37% ตามลำดับ
2 ตลาดหมีของหุ้นกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง แต่ก่อนหุ้นกลุ่มนี้ เป็นหุ้นในดวงใจของนักลงทุนหลายๆ ท่าน เนื่องจากเป็นหุ้นในกลุ่มที่มี P/E ต่ำ แต่สามารถสร้างกำไรได้อย่างต่อเนื่อง จนสามารถจ่ายเงินปันผลคืนแก่นักลงทุนอย่างสม่ำเสมอ แต่ดูเหมือนว่าปีที่ผ่านมา ผลตอบแทนของหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะไม่ดีนัก ยกตัวอย่างเช่น AP ราคาปรับตัวลดลงกว่า 30% จากราคาต้นปี, QH ปรับตัวลง กว่า 17% เป็นต้น สาเหตุที่ทำให้หุ้นกลุ่มนี้ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องมีหลายปัจจัยด้วยกัน เช่น การปรับตัวขาขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เพิ่มขึ้น, นโยบายทางการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของธนาคารแห่งประเทศไทยเช่น การกำหนดเกณฑ์การวางเงินดาวน์ หรือ LTV (Loan to Value) ที่เพิ่มสูงขึ้น นอกจากนั้น ความไม่สอดคล้องของอุปสงค์และอุปทานของความต้องการอสังหาริมทรัพย์ ก็เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่กดดันหุ้นกลุ่มนี้ในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากปริมาณ Unit บ้านและคอนโดที่สร้างมีมากกว่าความต้องการซื้อของผู้บริโภค
3 ผลตอบแทนของหุ้น IPO ไม่เป็นตามคาด หากเป็นช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา การได้มาของหุ้น IPO อาจจะสามารถสร้างผลตอบแทนให้กับนักลงทุนอย่างรวดเร็ว โดยสามารถทำกำไรได้ เมื่อหุ้นเริ่มซื้อขายในตลาดตั้งแต่วันแรกๆ เพราะราคาที่ซื้อขายกันในตลาดมักจะสูงกว่าราคา IPO แต่ปีที่ผ่านมาอาจจะไม่ใช่อย่างนั้นแล้ว หุ้น IPO หลายตัวที่เมื่อมีการซื้อขายในตลาดแล้ว ราคาปรับลดลงกว่าราคา IPO ได้ ทำให้นักลงทุนที่จองได้ราคา IPO อาจจะขาดทุนกันถ้วนหน้า จากข้อมูลของ com พบว่า หุ้น IPO ที่เข้าซื้อขายในปี 2561 จำนวนทั้งหมด 21 บริษัท มีเพียง 6 บริษัท ที่ราคาปัจจุบันอยู่เหนือกว่าราคาจอง IPO เมื่อเป็นอย่างนี้แล้ว หากคิดจะจองหุ้น IPO นักลงทุนคงต้องคิดพิจารณาให้รอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน
4 ราคา AOT ปิด ปรับตัวลดลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2008 ถ้าหากให้ยก Super Stock สักหนึ่งบริษัท ที่สามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างต่อเนื่อง นักลงทุนหลายท่านคงนึกถึง AOT บริษัทที่มีการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง และยังเป็นธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มสร้างรายได้ให้กับประเทศ นั่นคือธุรกิจการท่องเที่ยว แต่ปีที่ผ่านมา AOT อาจจะมีข่าวที่กระทบกับราคาหุ้นอยู่บ้าง ยกตัวอย่างเช่น ความไม่พอใจของนักท่องเที่ยวจีน ในการให้สัมภาษณ์ของรองนายกรัฐมนตรีกรณีเรือล่มที่ภูเก็ต ทำให้นักท่องเที่ยวจีน ซึ่งถือเป็นนักท่องเที่ยวกลุ่มหลักมีปริมาณลดลงอย่างชัดเจน หากพิจารณาที่ราคาหุ้นแล้ว ราคาปิดปลายปีปรับตัวลดลงถึง 9% เมื่อเทียบกับราคาต้นปี อย่างไรก็ตาม ราคาที่ปรับตัวลดลงอาจจะสร้างโอกาสให้กับนักลงทุนก็เป็นได้
5 การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันส่งผลต่อหุ้นกลุ่มปิโตรเลียม ราคาน้ำมันดิบหลักๆ อย่างราคาปิดปลายปี WTI Crude oil ได้ปรับตัวลดลงกว่า 24.84% จากราคาต้นปี (ปัจจุบัน 3 ม.ค. 2561 ราคา $09 ต่อบาเรลล์) เมื่อเทียบกับปีก่อนที่ราคาปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น 12.47% ส่งผลให้กดดันราคาหุ้นในกลุ่มผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ตลอดช่วงปีที่ผ่านมา อย่างเช่น PTTEP ปรับตัวลดลง 25.4% จากราคาสูงสุดของปี ขณะที่ PTTGC ปรับตัวลดลงกว่า 32% เป็นต้น ดังนั้น จึงเป็นที่น่าสนใจว่าราคาน้ำมันในปีนี้จะเป็นไปทิศทางไหน ก็คงขึ้นอยู่กับประเทศผลิตน้ำมันรายใหญ่ เช่น ประเทศในกลุ่ม OPEC, รัสเซีย, สหรัฐ หรือแม้กระทั่งประเทศที่ถูกคว่ำบาตรอย่างอิหร่าน
stock2morrow สรุปข่าวสารการลงทุนให้เพื่อนๆ สายหุ้น ได้อ่านกัน นำ 5 เรื่องที่คิดว่าน่าสนใจมาทบทวนวางแผนกัน