ป๊าได้มีโอกาสทำทั้ง 2 อย่าง มีดี มีเสียต่างกันพอสรุปอย่างง่ายๆ ให้ฟังนะครับ
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์จะไม่เครียดเหมือนหุ้น คือซื้อแล้วถือรอยาวเลย ใช้เวลา เป็นเครื่องพิสูจน์ แต่การลงทุนในหุ้น มีตัวเลข รายงานให้เราต้องติดตามตลอดเวลา มีความเครียดกว่า
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ไม่มีตำราสอน ไม่มีทฤษฎีเฉพาะ ไม่มีหลักเกณฑ์ indicator เราต้องเรียนรู้ เราต้องรู้พื้นฐานของราคาที่ดินบริเวณนั้นๆ ไม่มี PE ให้เปรียยเทียบ
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ๆ ถ้าลงทุนในหุ้น เราใช้เงินหลักหมื่น หลักแสนก็เริ่มซื้อขายได้แล้ว
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์เสี่ยงน้อยกว่าในหุ้น มีปัจจัยภายนอกน้อยกว่าการลงทุนในหุ้น
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์สภาพคล่องน้อยกว่าในหุ้น อยากขาย บางทีต้องรอเนื้อคู่ก่อน ส่วนหุ้นอยากขายเมื่อไรก็ขายได้เลย
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ได้เชยชม ได้ชื่นชม คือได้ใช้พื้นที่ทำประโยชน์ต่อไป เช่น ถ้าเรามีที่ดินริมทะเล เราได้ใช้ ได้ชื่นชม คล้ายๆเป็นปันผลในหุ้น
การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เลือกง่ายกว่า ดูง่ายกว่าในหุ้น ตามองเห็น จับต้องได้ หุ้นยังมีปัจจัยยุ่งยากกว่าเยอะ
ป๊าจะเล่าปัจจัยในอสังหาริมทรัพย์ให้ฟัง คือมีเศรษฐีชาวฮ่องกง แกข้ามน้ำข้ามทะเลมาซื้อที่ดิน รอบๆสวนลุมพินีของเรา โดยเอาความคิดว่า ที่ดินรอบสวนสาธารณะหายาก หมดแล้วหมดเลย เหมือนที่ดินติด แม่น้ำ ที่ดินติดทะเล หมดแล้วหมดเลย แต่ที่ติดสวนลุมพินี มันเป็นเมืองชั้นใน ซื้อขายได้ง่าย เขาซื้อที่แปลงนี้มาตารางวาละ 200,000 บาท ผ่านมา 30 ปี ที่แปลงนั้นตอนนี้ ตารางวาละ 3,000,000 บาท เติบโต มา 15 เท่า ในเวลา 30ปี มันมากจริงๆๆเลยนะครับ และแกซื้อจำนวน 8ไร่ ใช้เงินลงทุน 640 ล้าน 30 ปี แกขายได้ 9,600 ล้าน มันมากโขเลย อย่างที่ป๊าเคยบอก ที่ดิน เวลาขาย เราจะขายยกแปลง ได้เนื้อได้หนังครับ
แต่ที่น่าสังเกตคือ แกข้ามน้ำข้ามทะเลมาซื้อที่ดินติดสวน สาธารณะ อย่างเดียว แสดงว่าแกเป็นคนที่มองขาด มีวิสัยทัศน์ ทุกๆคนอย่าลืมเก็บไว้เรื่องนี้ไว้เป็นบทเรียนนะครับ ถ้ามีโอกาส อย่าลืมซื้อที่ดินติดสวนสาธารณะ หรือ ที่ๆติดกับสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ง่ายๆอีกนะครับ
---------------------------
stock2morrow นำบทความดีๆ จากประสบการณ์จริงของนักลงทุนรายใหญ่ อย่างเสี่ยยักษ์ มาแชร์ข้อมูลให้เพื่อนๆ นักลงทุนทั้งสายหุ้น สายอสังหาฯ เก็บไว้อ่านทำการบ้านกันต่อ