สัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวหนาหูเกี่ยวกับ “หนึ่งในกองทุนหุ้นที่ขายดีที่สุดในประเทศไทย” ซึ่งก็คือ กองทุน LTFที่จะหมดอายุโครงการในการรับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสิ้นปี 62 หลังจากรัฐบาลขยายเวลาการใช้สิทธิลดหย่อนภาษี โดยเปลี่ยนเงื่อนไขจากถือหน่วยลงทุนจาก 5 ปีปฎิทินเป็น 7 ปีปฎิทิน และมีความเป็นไปได้ “สูงมาก”ที่จะไม่มีการต่ออายุหลังปี 62 ออกไปอีก
แปลว่า มิตรรักแฟนเพลงกองทุน LTF จะลงทุนทิ้งทวน เพื่อใช้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีกันได้อีกเพียง 2 ปี คือปีนี้ (61) และปีหน้า (62)
กองทุน LTF นี่ถูกจัดตั้งขึ้นครั้งแรกปี 2547…ปีนี้ก็ปีที่ 15 แล้วเกิดมาเพื่อเพิ่มมูลค่าผู้ลงทุนสถาบันในประเทศ (กองทุนรวม) และช่วยสร้างเสถียรภาพของ SET ช่วยให้นักลงทุนมีเงินลงทุนระยะยาวนานขึ้น โดยให้สิทธิลดหย่อนภาษี
นี่คือการลงขันของ “สหกรณ์บ้านบางระจัน”ที่เม่าไทยเราใช้ต้านศึก “นักลงทุนต่างชาติ” ที่ขายหนักมาหลายปีดีดักโดยมีคุณพี่กองทุนเป็นผู้ซื้อหลักมาหลายปีถึงวันนี้มีเงิน LTF อยู่ในตลาดเกือบ 3.9 แสนล้านบาท!!! ทุกปี จะมียอดเงินลงทุน LTF ใหม่ 7หมื่นล้านบาทต่อปี !!!
ถ้าถามความเห็นส่วนตัว ก็ขอบอกตรงๆนะว่า“ไม่อยากให้เลิก” โดยเฉพาะเหตุผลที่กองทุน LTF มักจะถูกมองในแง่ลบว่า “เอื้อประโยชน์ให้คนรวย” ซึ่งตรงนี้ผมไม่เห็นด้วยครับ คือมันมีการจำกัดยอดการซื้อสูงสุดต่อปีเอาไว้ คนรวยมหาศาลอย่างไร ก็ซื้อได้แค่ 5 แสนบาทครับ….จริงๆ ผมมองว่าช่วยเอื้อประโยชน์ให้ชนชั้นกลางลงไปที่มีวินัย มีการวางแผนทางการเงินที่ดี และยินดีสละเงินสดวันนี้ลงไปในตลาดทุน เพื่อวางเงินระยะยาว 7 ปี ซึ่งส่งผลดีทั้งตลาดทุนไทย และตัวผู้ลงทุนเอง เป็นเครื่องมือการวางแผนเกษียณที่มีประสิทธิภาพ
แต่เอาเถิด ในเมื่อ LTF ก็ช่วยตลาดทุนไทยมา 15 ปีแล้ว ตลาด SET และกองทุนไทย ก็พัฒนามาไกล อะไรที่มันถึงเวลา ก็คือต้องถึงเวลาคำถามใหญ่ที่น่าสนใจ ก็คือ “หากเลิก LTF แล้ว ตลาดหุ้นไทยจะต้านแรงขายต่างชาติ…ไหวไหม?” ก็ขอแสดงมุมมองดังนี้
- เม็ดเงิน LTF 3.9 แสนล้านนี่ไม่ได้ขายออกได้ทีเดียวในปีเดียวนะ … เพราะจะทยอยขายออก 7 ปี
2. ไม่ใช่ทุกคน ที่จะขาย LTF ครบกำหนดทิ้งนะ…เพราะบางคนถือ LTF ต่อยาวๆไป และบางคน(เช่น ผมเอง) ก็ขาย LTF และเปลี่ยนมาถือกองทุนอิงดัชนี(SET50) ที่ต้นทุนค่า Fee ถูกมาก ซึ่งเงินทุกบาทก็ยังอยู่ในหุ้นไทยอยู่
- ไม่มี LTF เรายังมี “RMF”… เพราะ RMF ยังลงทุนหักภาษีได้ และลงทุนในหุ้นได้เต็มที่ เชื่อว่าจะขายดีขึ้นมาก ผมหวังว่าคลัง จะพิจารณาให้ลงทุน RMF ได้มากขึ้น เช่นจาก 15% เป็น 20-25% ของรายได้
- มีสินค้าทางการเงินชนิดใหม่ๆออกมาเรื่อยๆ เช่น “ยูนิตลิงค์ ประกันชีวิตควบการลงทุน” … เพราะการซื้อประกันชีวิตสมัยนี้ มีรูปแบบสินค้าใหม่ คือ ประกันชีวิตควบการลงทุน ซึ่งเป็นประกันชีวิตที่ฟีเจอริ่งกับกองทุนรวมด้วย ทุกแบงค์กำลังมาทางนี้ AIA, SCB, Krungsri, ฯลฯ
- ลูกค้า Wealth มาแรง …เพราะแทบทุกแบงค์กำลังจับเรื่อง Wealth Management ให้กลุ่มลูกค้ามั่งคั่ง ผมเจอลูกค้าเหล่านี้ตัวเป็นๆมาเยอะผ่านทางงานสัมมนาเอ็กซ์คลูซีฟของ SCB Private Banking, Krungsri Exclusive, AIA Wealth,ฯลฯยังมีคนไทยที่มีเงินเย็นเยอะมาก และกำลังเข้าตลาดในรูปแบบกองทุนรวมอีกมาก
- ก่อนเลิก LTF … น่าจะมีแผนการรับมือ เช่น กองทุนรูปแบบใหม่อย่างประเทศสหรัฐอเมริกาตอนจะเลิก QE (Quantitative Easing) นโยบายพิมพ์แบงค์ เขาก็ต้องเตรียมการนะ พอต้องเปลี่ยนนโยบายมาเป็น QT (Quantitative Tightening) ลดสภาพคล่อง ก็ต้องมีแผนรองรับ ซึ่งถ้าเตรียมพร้อมดีๆก็ไม่มีปัญหาผมเชื่อว่า คลังจะออกกองทุนประหยัดภาษีรูปแบบใหม่ออกมา ซึ่งเงื่อนไขอาจจะไม่ดีเท่า LTF แต่เชื่อเถอะ มีนักลงทุนยินดีลงทุนอยู่แล้ว
สรุป ผมคิดว่าการเลิก LTF อาจจะมีผลกระทบตลาดหุ้นบ้าง แต่ไม่น่าจะมากมาย ทั้งนี้ต้องดูแผนของกองทุนรูปแบบใหม่ที่จะมาทดแทน ซึ่งมีข่าวแว่วว่า จะเน้นดึงฐานผู้มีรายได้ปานกลาง-น้อย เข้าสู่ตลาดทุน ซึ่งเป็นหนึ่งในยุทธ์ศาสตร์ ที่จะผลักดันให้ชาวไทยทุกระดับใส่ใจการลงทุนระยะยาว
****************
โดย อธิป กีรติพิชญ์ (Facebook Fanpage : นิ้วโป้ง Fundamental VI)