วลีฮิตที่ว่า "ช็อคโกแลตที่ละลายในปาก แต่ไม่ละลายในมือ"
ได้กลายเป็นหนึ่งในตำนานคำพูดติดปาก สำหรับเด็ก Gen Y พร้อมกับโฆษณาตัวการ์ตูน 6 ตัว เป็นเม็ดสีช๊อคโกแลตต่างๆ ออกมาเต้นร้องรำทำเพลง ทำให้โฆณษานี้โดนใจเด็กยิ่งนัก มันคือโฆษณาช๊อคโกแลต M&M นั้นเอง
ช๊อคโกแลต M&M จะถูกบรรจุอยู่ในหลอดพลาสติก มีฝาปิด ภายในบรรจุเม็ดช็อคโกแลตจำนวนมากให้เด็กได้เทใส่ปาก เคี้ยวเล่นกันสนุกสนาน แต่รู้หรือไม่ว่าขนมชนิดนี้มีประวัติที่น่าสนใจมาก เพราะในอดีต มันเคยเป็นเสบียงประจำกองทัพทหารของอเมริกา และยังเป็นอาหารที่อร่อยมากในสมรภูมิสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกด้วย เรื่องราวจะเป็นอย่างไร เดียวจะเล่าให้ฟังครับ ....
ผู้ก่อตั้งและคิดค้น M&M คือ ฟอเร็ส เอ็ดเวิร์ด มาร์ (Forrest Edward Mars) ในปี 1904 ที่เมืองมิเนโสต้า ทางเหนือของอเมริกา เขาอาศัยอยู่กับพ่อของเขาเพียงลำพัง แต่ไม่ค่อยจะอบอุ่นสักเท่าไรนัก เขาจะได้เจอพ่อของเขาเพียงอาทิตย์ละ 2-3 ครั้งเท่านั้น เพราะพ่อของเขาเป็นเจ้าของบริษัทลูกอม Mars, Inc.ซึ่งงานยุ่งทั้งวันและไม่ค่อยมีเวลามากสักเท่าไร เขาจึงเกิดมาท่ามกลางความโดดเดี่ยว หลังจากที่เขาเรียนจบในโรงเรียน และเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย สาขาวิศวกรรมอุตสาหกรรม เรียบจบในปี 1928
ผู้ก่อตั้ง Forrest Edward Mars
ที่มาภาพ : Wikipedia
หลังจากที่เรียบจบ ฟอเร็สทำงานกับพ่อของเขา แต่ด้วยความเห็นที่ไม่ตรงกัน และความสัมพันธ์พ่อลูกที่ไม่ค่อยดีมาแต่ไหนแต่ไร เขาจึงตัดสินใจลาออก และไปทำงานในยุโรปที่บริษัทเนสเลย์ Nestlé
ในช่วงปี 1936 ได้เกิดสงครามกลางเมืองที่ประเทศสเปนขึ้น เขาสังเกตเห็นว่าทหารส่วนใหญ่จะถือขนมถัวเคลือบช๊อคโกแลต ยี่ห้อ สมาร์ทตี้ (Smarties) ซึ่งถิอเป็นขนมหลากสี บางเม็ดก็มีช๊อคโกแลตอย่างเดียว บางเม็ดก็มีถั่วอยู่ข้างใน แต่น่าเสียดายที่ช็อคโกแลตเหล่านี้ละลายง่ายมาก เจออากาศร้อนกลางเมืองก็แทบจะละลายกลายเป็นน้ำ ทางฟอเร็สเห็นดังนั้นจึงรีบไปจดสิทธิบัตรช็อคโกแลตรูปแบบใหม่ และหลอดพลาสติกทรงกระบอกอย่างหนาเพื่อกันความร้อน ทนต่ออุณหภูมิได้
ในปี 1941 เขาได้ร่วมหุ้นกับ Bruce Murrie ลูกชายเจ้าของบริษัทช็อคโกลแต Hershey ตั้งโรงงานผลิตที่เมืองนิวเจอร์ซี่ และตั้งชื่อโรงงานและชื่อขนมของเขาว่า " M&M" ซึ่ง M ตัวแรกย่อมาจาก Mars ชื่อนามสกุลของเขา และ M ตัวหลังมาจาก Murrie นั้นเอง
เขาได้ส่งตัวอย่างขนมช็อคโกแลตไปที่กองทัพสหรัฐ และคำโฆษณาว่ามันจะไม่ละลายแม้จะเจอกับอากาศที่ร้อน ปรากฏว่ากองทัพอเมริกาพอใจในรสชาติและการเก็บที่ไม่ละลายเป็นอย่างมาก จึงสั่งให้โรงงาน M&M ผลิตและส่งให้กับกองทัพเพียงอย่างเดียว
ฟอเร็ส เห็นว่าขายดีมากๆและผลิตไม่ทันกับสิ่งที่กองทัพต้องการ เขาจึงขยายกำลังการผลิตเพิ่มอีก 1 แห่ง ที่เมือง Cleveland และขยายโรงงานเดิมที่มีอยู่
ทหารอเมริกานิยมพกช็อคโกแลต M&M กินเวลาว่าง เป็นเสบียงกลางสมรภูมิ บางคนมีอาการป่วยเพราะอาการคิดถึงบ้านที่เรียกว่า "Homesick" ก็เคี้ยว M&M สามารถช่วยรักษาอาการได้ ที่สำคัญ การเก็บมีความง่ายมาก สามารถพกใส่กระเป๋ากางเกงได้เลยโดยไม่ต้องกลัวว่ามันจะละลาย
หลังจากจบช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางกองทัพสั่งน้อยลง ทางบริษัทจึงเริ่มตีตลาดไปต่างประเทศเพื่อส่งไปขาย ในปี 1980 บริษัทได้ส่งขายไปหลายประเทศ ไม่ว่าจะเป็น Australia, Canada, Europe, Hong Kong, Japan, Malaysia, และ the United Kingdom
นอกจากนี้ M&M ยังทำการตลาดในลักษณะของฝากช่วงเวลาสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นคริสมาส วันปีใหม่ วันเกิด ก็สามารถนำไปซื้อฝากได้ พร้อมกับมาสค๊อตตัวการ์ตูนน่ารักๆ 6 ตัวด้วยกัน
ไม่เพียงแค่ต่างประเทศเท่านั้น แต่ M&M ยังขยายธุรกิจไปยังนอกโลกอีกด้วย ในช่วงปี 1990 การเข้ามาของเทคโนโลยีอวกาศเริ่มเฟื่องฟูขึ้นเรื่อยๆ องค์การ NASA เปิดเผยว่าขนมที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปเป็นอาหารของนักบินอวกาศ คือ M&M .. ว่ากันว่าอาหารที่ NASA เลือกให้นักบินเอาไปกินด้วยจะต้องอยู่ภายใต้การควบคุมอย่างเคร่งครัดเพราะนักบินไม่สามารถกินอะไรแบบ "ซีซั้ว" ได้ จำเป็นจะต้องกินให้สะดวกที่สุดแต่ได้สารอาหารมากที่สุด และขนม M&M เป็นแหล่งไขมัน และน้ำตาลชั้นดีให้กับนักบิน เนื่องจากด้วยขนาดที่เล็ก ไม่แตกง่าย ใส่ปาก-กัด และกลืนได้ทันที อีกทั้งยังเป็นกิจกรรมยางว่างของนักบินไว้สำหรับเล่นกับเพื่อนๆได้ ที่สำคัญนักบินมีความเครียดสูง การ "เคี้ยว" จะช่วยลดความเครียด และการเต้นของหัวใจให้ช้าลงเวลาเจอเรื่องตื่นเต้น
ปัจจุบัน ฟอเร็ส เอ็ดเวิร์ด มาร์ ได้เสียชีวิตแล้ว เมื่ออายุ 95 ปี ถึงแม้เขาจะจากโลกนี้ไป แต่ปณิธานของเขายังคงอยู่ ช็อคโกแลตของเขายังอยู่ และดูเหมือนว่าจะใหญ่กว่าเดิมด้วย ใครจะไปนึกว่าสิ่งที่เขาคิดค้นจะสามารถเอาไปขายในอวกาศได้ เป็นเรื่องเหลือเชื่อจริงๆ ครับ
ขอบคุณแหล่งข้อมูล
https://en.wikipedia.org/wiki/M%26M%27s
https://en.wikipedia.org/wiki/Forrest_Mars_Sr.
https://miracleinoctober.wordpress.com/2014/07/04/mms-i-melt-for-no-one/
https://www.smithsonianmag.com/science-nature/rich-and-flavorful-history-chocolate-space-180954160/