คนในวงการกีฬาก็เหมือนกับกับคนในวงการตลาดหุ้น มีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จ และคนที่ไม่ประสบความสำเร็จ ในตลาดหุ้นคนจำนวนมากต้องสะสมประสบการณ์ ลงทุนทางด้านความคิดให้มากพอเพื่อให้อยู่กับตลาดหุ้นที่ผันผวน แต่สำหรับนักกีฬาแล้วการลงทุนทางด้านร่างกายเพื่อให้อยู่ในอาชีพได้นานคือสิ่งสำคัญที่สุด นักกีฬาบางคนถูกซื้อตัวให้เข้ามาเล่นในลีคอาชีพกันตั้งแต่ 19 ปี เล่นไปจนถึง 30 ปี นักกีฬาเหล่านั้นก็จะถูกพิจารณาว่าสมควรให้เป็นนักกีฬาต่อหรือควรรีไทย์ไปเป็นคนเบื้องหลัง เป็นโค้ชหรือไม่ ดังนั้นช่วงเวลาแค่ 10 ปี เป็นช่วงกอบโกยของนักกีฬา
แต่นักกีฬาเหล่านั้นก็มีโอกาสที่มากกว่า กล่าวคือ เมื่อพวกเขามีชื่อเสียงจะมีบริษัทจำนวนมากเสนอ "ค่าตอบแทน" เพื่อจูงใจให้นักกีฬาเหล่านั้นเข้ามาเป็นพรีเซ็นเตอร์อุปกรณ์กีฬาให้บริษัทนั้นๆ บางบริษัทอาจจะเสนอเงิน หรือบางบริษัทที่ยังเล็กอยู่ก็อาจจะเสนอ "หุ้น" ให้นักกีฬาเหล่านั้นเหมือนกับกรณีของนักบาส NBA อย่าง Spencer Haywood ที่ "เกือบ" รวยจากหุ้น Nike เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ถือเป็นกรณีที่น่าศึกษามากครับ
Spencer Haywood ในวัยหนุ่ม
ที่มาภาพ : theshadowleague.com
สเปนเซอร์ นักบาสระดับ "ตำนาน" ของ NBA ปัจจุบันอายุ 66 ปี เขาเคยคว้าแชมป์ NBA และติดทีมรวมดาราถึง 4 ครั้ง เรียกได้ว่าเป็นซุปเปอร์สตาร์ในสมัยนั้นก็ไม่ผิดนั้น เขาได้รับเชิญไปออกรายการ Detroit news เขาได้เปิดเผยถึงช่วงชีวิตของการเป็นนักกีฬา ช่วงเวลาที่เขาต้องพึ่งสารเสพติดเพื่อให้ร่างกายฟิตอยู่ตลอดเวลาและโดนจับจนถึงถูกแบนออกจาก NBA เพราะผิดกฏที่ห้ามนักกีฬาใช้สารเสพติด แต่เขาบอกว่าสิ่งที่เขาเสียใจมากที่สุดไม่ใช่เรื่องของการติดยา แต่เป็นเพราะเรื่องราวของไนกี้ต่างหาก เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ... ?
ในปี 1970 ซึ่งเป็นช่วงที่เขาอายุ 21 ปี และยืนอยู่ในจุดสูงสุดของนักกีฬาอาชีพ มีทั้งความสดทางด้านร่างกายและจิตใจ เขาได้รับข้อเสนอจากบริษัทขนาดเล็ก Blue Ribbon Sports (ต่อมาเปลี่ยนชื่อมาเป็น "ไนกี้" ทีหลัง) ในตอนแรกสเปนเซอร์ได้ตอบปฏิเสธไป แต่เจ้าของบริษัทอย่างฟิว ไนท์ หนึ่งในผู้ก่อตั้งบริษัทได้ขอเข้าพบและตื้อสเปนเซอร์อยู่นานมากให้ช่วยโปรโมทสินค้าของ Nike โดยมีทางเลือกให้ 2 ทาง คือ
1. เงินสด 1 แสนเหรียญ
2. หุ้นในบริษัท 10%
เขาได้เก็บข้อเสนอนี้ไปคุยกับผู้จัดการส่วนตัว ซึ่งทางผู้จัดการส่วนตัวได้แนะนำว่า "เอาเงินดีกว่า จะเอาหุ้นไปทำไม" คาดว่าผู้จัดการส่วนตัวก็คงจะหวังเรื่องค่าคอมมิชชั่น สเปนเซอร์ก็ตอบรับฟิว ไนท์ ว่าเขาเลือกรับเงินสด ไม่เอาหุ้น ดีลในครั้งนั้นถือว่าฮือฮามากที่ซุปเปอร์สตาร์อย่างสเปนเซอร์จะเป็นพรีเซ็นเตอร์อย่างเป็นทางการให้กับรองเท้าไนกี้ .....
แต่สิ่งที่คาดไม่ถึง คือ เมื่อเวลาผ่านไปถึง 40 ปี บริษัทเล็กๆอย่าง Blue Ribbon Sports จะเปลี่ยนชื่อมาเป็น Nike และเทรดกันในตลาดหลักทรัพย์ ปัจจุบันหุ้น Nike มีมูลค่าตลาดสูงถึง 86.2 พันล้านเหรียญ ซึ่งนั้นหมายความว่า ความร่ำรวยเพียง 10% คือ 8.6 พันล้านเหรียญจะอยู่ในมือของสเปนเซอร์ ตีเป็นเงินไทยก็อยู่ที่ประมาณ 285,000 ล้านบาท
เขา "เฉียดรวย" ไปอย่างน่าเสียดาย .....
ถึงแม้เหตุการณ์นี้จะเป็นเรื่องย้อนหลัง แต่ก็ถือเป็นกรณีศึกษาสำหรับนักลงทุนที่น่าสนใจมาก อ่านแล้วเราได้อะไรจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ครับ
ขอบคุณแหล่งข้อมูล
https://en.wikipedia.org/wiki/Spencer_Haywood
https://www.foxsports.com/nba/story/nike-spencer-haywood-turned-down-10-percent-stake-in-company-020416
https://www.news.com.au/sport/sports-life/spencer-haywoods-86-billion-mistake/news-story/2584b360a6d43afed2d552693e60a408
เฟชบุคแฟนเพจ NBA Time