ตลาดหุ้นวิ่งขึ้นแตะจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์ที่ 1852 จุด ในเดือนกุมภาพันธ์ 2018 พร้อมความดีใจและนักลงทุนหลายๆคนทยอยซื้อหุ้นด้วยความหวังมากมาย หลังจากนั้นสถานการณ์ก็พลิกกลับข้าง ดัชนีหุ้นไทยไหลลงอย่างต่อเนื่อง ภายใน 4 เดือน ไปแตะที่ 1584 จุด ในเดือนมิถุนายน พร้อมความตกใจมากมายของนักลงทุน หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนให้หลัง ตลาดหุ้นดีดกลับ หนึ่งร้อยกว่าจุด ไปปิดที่ 1,701 ณ วันที่ 26 กรกฎาคม พร้อมกับเครื่องหมายคำถามของนักลงทุนว่าเกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้น
จริงๆ ตลาดหุ้นก็ผันผวนเป็นเรื่องปกติอย่างนี้อยู่แล้วแต่คำถามที่ทุกคนอยากรู้คือ เราจะลงทุนอย่างไรให้ได้ผลตอบแทนที่ดี
หลายคนพยายามศึกษาเทคนิคต่างๆมากมายเพื่อจะทำให้ตัวเองไม่ต้องถือหุ้นในวันที่หุ้นตก แต่ในความเป็นจริงมันเป็นเรื่องยากมากและไม่เคยมีใครพยากรณ์การขึ้นลงของตลาดหุ้นได้ถูกตลอดเวลา
แต่เชื่อหรือไม่ว่ามีเทคนิคการลงทุนที่สามารถจัดการกับความผันผวนได้อย่างดีและไม่ว่าใครก็สามารถนำไปใช้ได้จริงๆ เทคนิคที่ว่าคือ “การลงทุนแบบถัวเฉลี่ย” หรือ ภาษาอังกฤษเรียกว่า “Dollar Cost Average” (DCA)
อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าเราจะใช้เทคนิค DCA นี้กับหุ้นตัวไหนก็ได้ เพราะเทคนิค DCA นี้ใช้เพื่อจัดการกับการซื้อผิดจังหวะเวลาแต่หุ้นที่เราเลือกต้องมีแนวโน้มเติบโตในระยะยาว เทคนิค DCA ถึงจะเป็นประโยชน์ (ถ้าเลือกหุ้นผิดตัว DCA ยังไงเงินก็ไม่โตนะครับ)
ดังนั้นผมเลยเลือกกองทุนระดับ 5 ดาวมา 1 กองทุน ซึ่งเป็นกองทุนที่จัดตั้งมาตั้งแต่ปี 1994 ก่อนวิกฤตต้มยำกุ้ง ซึ่งผมทำแบบจำลองที่ใช้ข้อมูลจริงๆของกองทุนนี้ โดยถ้าเราเริ่มต้นลงทุนในกองทุนนี้ทุกสิ้นเดือน เดือนละ 5,000 บาท โดยทุกสิ้นปีเพิ่มเงินลงทุนปีล่ะ 5%ตามสมมติฐานที่ว่าเงินเดือนขึ้นก็เก็บเงินได้เพิ่มขึ้น
เชื่อหรือไม่ว่าแค่ลงทุนไปเรื่อยแบบนี้ตามเทคนิค DCA ปัจจุบันเราจะมีเงินลงทุนประมาณ 14 ล้านบาท จากเงินที่เราใส่เข้าไปทั้งหมดประมาณ 2ล้านกว่าบาท เทียบแล้วเท่ากับเงินลงทุนเติบโตขึ้น 420% และผ่านวิกฤตเศรษฐกิจใหญ่ๆอย่างเช่น วิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ปี 1997 และ วิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ของสหรัฐอเมริกา ปี 2008 ได้อย่างสบายๆ
ดูจากข้อมูลแล้วดูเหมือนง่ายๆใช่ไหมครับแต่จริงๆแล้วถ้าคนที่ใช้เทคนิคนี้ใจไม่แข็งพอ ในปี 2008 ที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์ที่อเมริกามูลค่าเงินในพอร์ตการลงทุนจะลดจาก 3 ล้านบาทเหลือเพียง 2ล้านบาท แล้วถ้าคุณไม่ใจแข็งพอที่จะลงทุนอย่างต่อเนื่องคุณก็จะไม่มีทางเห็นเงินเติบโตเป็นมูลค่า 14 ล้านบาทได้
ท้ายที่สุดอยากทิ้งท้ายไว้ว่าเทคนิคนี้ใช้ได้จริงแต่จะต้องประกอบด้วยปัจจัย2อย่าง
1)ต้องมีวินัยลงทุนอย่างต่อเนื่องในทุกสภาวะตลาด
2) ต้องลงทุนในกองทุนที่เก่งและสม่ำเสมอที่สามารถเติบโตได้ในระยะยาว
ขอให้โชคดีในการลงทุนนะครับ