Opportunity Day Q1/2018
PTT เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจปิโตรเลียมและปิโตรเคมีครบวงจร โดยผ่านธุรกิจที่ดำเนินงานเองและธุรกิจที่ลงทุนผ่านบริษัทในกลุ่ม โดยรายได้ส่วนใหญ่จะขึ้นอยู่กับราคาของ 3 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ น้ำมัน ก๊าซและปิโตรเคมี
ซึ่งแนวโน้มราคาในไตรมาสนี้ดีขึ้นทั้ง YoY และ QoQ สาเหตุหลักเนื่องจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น แต่มีปัจจัยลบจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้รายได้จากการส่งออกลดลง
เหตุการณ์สำคัญใน Q1/18
PTT
- เข้าซื้อหุ้น IRPC เพิ่มเติม คิดเป็นสัดส่วนทั้งหมด 48.05%
- PTT แตกพาร์จาก 10 บาทลดลงเหลือ 1 บาท
- ภาครัฐปรับขึ้นราคา NGV 0.62 บาท / กิโลกรัม เนื่องจากการปรับปรุงคุณภาพก๊าซ
- อนุมัติให้จัดตั้งบริษัทเพื่อดำเนินงาน Cafe Amazon ในประเทศสิงคโปร์
- ปิดซ่อมบำรุงโรงแยกก๊าซ 2
PTTEP (ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม และท่อก๊าซ)
- เข้าซื้อแหล่งสำรวจบงกชเพิ่มเติมอีก 22.22 %
- ชนะ 2 บล็อกในการประมูลแปลงสำรวจในเม็กซิโกและอีก 2 บล็อคในมาเลเซีย (SK417 & SK438)
PTTGC (ธุรกิจเคมีภัณฑ์)
- EHIA โครงการปรับโครงสร้างโอเลฟินส์
- ปิดซ่อมบำรุงโรงงาน BPE
IRPC (ธุรกิจโรงกลั่นน้ำมันและโรงงานปิโตรเคมี)
- ปิดซ่อมบำรุงโรงงานโพลิโอเลฟินส์และพอลิสไตรีน
หากลองสังเกตที่สัดส่วนรายได้หลักจะมาจากธุรกิจน้ำมันและการค้าแต่เนื่องจากมีต้นทุนที่สูง ทำให้กำไรสุทธิต่ำ ขณะที่ธุรกิจก๊าซทำรายได้ต่ำกว่า แต่เป็นธุรกิจหลักที่สร้างกำไรสุทธิให้บริษัทมากที่สุด รองลงมาคือ ธุรกิจปิโตรเคมีและการกลั่น สำรวจและผลิต และธุรกิจอื่นๆ ได้แก่ ถ่านหินและไฟฟ้า
เมื่อพิจารณาที่กำไรสุทธิระหว่าง Q1/17 และ Q1/18 สาเหตุที่ทำให้กำไรสุทธิใน Q1/18 ลดลง 14 % เนื่องจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ กำไรพิเศษจากเงินปันผลกองทุนรวม EPIF ใน Q1/17 ทำให้เกิดส่วนต่างกำไรระหว่างปีสูงและธุรกิจปิโตรเคมีที่ปรับตัวลดลง 14% นอกจากนี้ธุรกิจอื่นๆ ในส่วนของถ่านหินก็มีกำไรลดลงจากการปรับปรุงเรื่องภาษีและธุรกิจการค้า ดังนั้น เราลองมาดูที่ผลการดำเนินงานในแต่ละหน่วยธุรกิจ
โดยภาพรวมของ PTT ใน Q1/18 มีผลการดำเนินงานดีขึ้นในธุรกิจสำรวจและผลิต ธุรกิจน้ำมัน ธุรกิจก๊าซและธุรกิจไฟฟ้า และแย่ลงในธุรกิจปิโตรเคมีและโรงกลั่น ธุรกิจการค้าและธุรกิจถ่านหิน ถ้าเปรียบเทียบกันก็ครึ่งๆ ซึ่งตรงนี้อาจจะไม่ได้สะท้อนแนวโน้มได้ชัดเจนนัก ลองไปดูกันที่กลยุทธ์การเติบโตและแนวโน้มกำไรในครึ่งปีหลัง
กลยุทธ์การเติบโตหลัก
- PTT จะมุ่งเน้นการขยายธุรกิจก๊าซอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างโครงข่ายท่อก๊าซและพัฒนาคลังรับก๊าซ LNG
- PTTEP จะเข้าร่วมประมูลสัญญาแบ่งปันผลผลิตในแหล่งบงกชและเอราวัณ และจะเร่งตัดสินใจลงทุนในโครงการที่อยู่ในขั้นตอนก่อนการพัฒนาโครงการหลักๆ
- IRPC อยู่ระหว่างทำโครงการ Everest, Everest Forever, IRPC 0 และ Galaxy โดยมีเป้าหมายจะให้ EBITDA เพิ่มขึ้นเป็น 2.9 หมื่นล้านบาทในปี 2020 (เพิ่มขึ้นจาก 2 หมื่นล้านบาทในปี 2017)
- TOP จะลงทุนในการขยายโรงกลั่นและเพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันและเพิ่มมูลค่าให้กับผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าต่ำให้มีมูลค่าสูงขึ้น
- PTTGC มุ่งเน้นการลงทุนใน 4 โครงการหลัก ได้แก่
1) โครงการ MAX (เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต)
2) โครงการ PO/Polyols
3) โครงการ Olefins Reconfiguration
4) โครงการผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ
โครงการเหล่านี้จะไม่เพียงแต่ทำให้ปริมาณขายเพิ่มขึ้น แต่ยังหนุนให้อัตรากำไรขยายตัวด้วย GPSCกล่าวว่าการเติบโตของบริษัทจะหนุนโดย 1) กำลังการผลิตใหม่ที่จะเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ในปี 2019 2) การลงทุนในธุรกิจพลังงานทดแทนและระบบกักเก็บพลังงาน และ 3) อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นจาก EEC (โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก) และกลุ่ม PTT
แนวโน้มอุตสาหกรรมและภาพกำไร
- PTT มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการในครึ่งหลังของปี 2018 และปี 2019 ทุกหน่วยธุรกิจมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นอีก
- PTTEP ชี้ว่ากำไรครึ่งหลังของปี 2018 และปี 2019 จะขยายตัวดีขึ้นอีก หนุนโดยปริมาณขายเพิ่มขึ้นและราคาน้ำมันอยู่ในระดับสูง แม้ต้นทุนการผลิตต่อหน่วยจะสูงขึ้น
- IRPC มั่นใจในแนวโน้มกำไรปี 2018-19 เช่นกัน โดยคาดกำไรปี 2018 จะขยายตัว YoY เนื่องจากโรงงานจะดำเนินงานเต็มกำลังการผลิต
- TOP ชี้ว่าแนวโน้มการดำเนินงานหลักในไตรมาส 3/18 อาจอ่อนตัวเนื่องจากค่าการกลั่นอยู่ในช่วงโลว์ซีซั่น แต่ผลประกอบการไตรมาส 4/18 จะดีขึ้น หนุนโดยช่วงไฮซีซั่นของทั้งค่าการกลั่นและปิโตรเคมี
- PTTGC มีมุมมองเชิงบวกต่อภาพกำไรปี 2518-19 เช่นกัน โดยคาดปริมาณขายปิโตรเคมีที่เพิ่มขึ้น,ราคาปิโตรเคมีแข็งแกร่ง, รับรู้กำไรจากสินทรัพย์ที่ซื้อจาก PTT เต็มปี รวมถึงจากโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตอย่าง Project Max
- GPSC มีมุมมองเป็นกลางต่อแนวโน้มกำไรปี 2018 แต่มั่นใจในผลประกอบการปี 2019 เนื่องจากกำลังการผลิตใหม่จะเริ่มดำเนินงานและการรวมกำไรของ GLOW เข้ามาในงบการเงิน
หากมองจากภาพรวมดูเหมือนว่าแนวโน้มของกลุ่ม PTT ยังดีอย่างต่อเนื่องจนถึงปี 2019 หนุนโดยราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงและปริมาณขายที่เติบโตและด้วยทิศทางกลยุทธ์ที่ชัดเจน ประกอบกับโอกาสการเติบโตจาก EEC ทำให้แนวโน้มของกลุ่ม PTT สามารถการเติบโตอย่างแข็งแกร่งในระยะยาว
อ้างอิง :
- Opportunity Day Q1/2018 >> https://www.set.or.th/streaming/#/vdo/40