สิ่งที่เป็น "ภารกิจ" หลักของบริษัทจดทะเบียน คือ การสร้าง "กำไร" ที่สมเหตุสมผล และคืนผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น ซึ่งการตอบแทนนั้นจะอยู่ในรูปของการจ่ายเงินปันผล และการซื้อหุ้นคืน ซึ่งการจ่ายเงินปันผล นักลงทุนทุกคนคงจะเข้าใจกันดีว่ากลไกการทำงานลักษณะนี้จะมีผลต่อหุ้นอย่างไร แล้วการซื้อหุ้นคืน จะตอบแทนให้ผู้ถือหุ้นได้อย่างไร เรามาลองดูกันก่อนครับ
== เมื่อไรที่บริษัทควรซื้อหุ้นคืน แล้วการซื้อหุ้นคืนมีข้อดีข้อเสียอย่างไร ==
เมื่อตลาดหุ้นตกอย่างหนัก หุ้นรายตัวคงจะหนีไม่พ้นการโดนถล่มของราคาหุ้นด้วย เมื่อหุ้นถึงจุดๆหนึ่งที่เจ้าของหุ้นเห็นว่า หุ้นตัวเองต่ำกว่ามูลค่าที่ควรจะเป็น จึงทำการขอมติคณะกรรมการเพื่อขอเงินจากบริษัทก้อนหนึ่ง มาซื้อหุ้นคืน เพื่อให้หุ้นในตลาดลดน้อยลง เมื่อหุ้นในตลาดน้อยลงแสดงว่าหุ้นที่มีอยู่จะมีมูลค่าสูงขึ้นตามสัดส่วน และหุ้นที่บริษัทถือจะไม่นำมาคำนวนปันผล รวมถึงกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ส่งผลให้ปันผลต่อหุ้นมากขึ้น เป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้นที่มีมูลค่าสูงมากในเชิงจิตวิทยา อย่างไรก็ตามกำไรต่อหุ้นที่เพิ่มขึ้นหรือปันผลที่มากขึ้นนั้นไม่ได้มาจากปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริงที่บริษัททำได้ เพราะเมื่อเวลาผ่านไป บริษัทมีสิทธิ์ที่จะนำหุ้นที่ตัวเองซื้อคืนนำมาขายคืนสู่ตลาด กำไรต่อหุ้นอาจจะกลับมาสู่จุดเดิมได้ แต่ในทางปฏิบัติจะเกิดเหตุการณ์นี้ยากมาก เพราะบริษัทมีทีมบริหารที่พยายามผลักดันให้บริษัทมี Growth อยู่ตลอดเวลา
ในแง่เดียวกัน นอกจากการจ่ายเงินปันผลแล้ว บริษัทอาจจะไม่จ่ายเงินปันผล แต่จะเอาเงินที่ได้มาซื้อหุ้นคืนแทน ประเด็นนี้ก็ถือว่าเป็นการตอบแทนผู้ถือหุ้นอีกวิธีที่หนึ่ง ที่ไม่ได้จ่ายเงินปันผลออกไปแต่ทำให้มูลค่าของหุ้นสูงขึ้น Book Value สูงขึ้น ซึ่งเราจะเห็นได้มากในตลาดหุ้นต่างประเทศ แต่มักไม่ค่อยเห็นในประเทศไทย
อย่างไรก็ตาม หากบริษัทซื้อหุ้นคืนในราคาแพงมาก จะเป็นตัวทำลายมูลค่าของตัวเองในอนาคต โดยส่วนใหญ่ บริษัทที่จะออกโครงการซื้อหุ้นคืนมักมีกำไรสะสมและมีกระแสเงินสดคงเหลือเพียงพอที่จะใช้ในการซื้อหุ้นคืนหรือบางบริษัทอาจจะมีการกู้เงินเพื่อนำมาซื้อหุ้นคืนได้เช่นเดียวกัน แต่อาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เนื่องจากสถาบันการเงินส่วนใหญ่มักไม่ค่อยปล่อยกู้ให้กับการซื้อขายหุ้น จึงมีการยกเลิกโครงการซื้อหุ้นคืนระหว่างทาง เนื่องจากกระแสเงินสดไม่เพียงพอหรืออาจมีเหตุฉุกเฉินต้องรักษาสภาพคล่องของบริษัท
สรุปแล้ว การซื้อหุ้นคืน ถูกมองว่าเป็น "ดาบสองคม" ถ้าบริษัทมีความจริงใจในการซื้อ และซื้อในราคาที่ไม่แพง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นในระยะยาว แต่ถ้าบริษัทซื้อแพงมากอาจจะเป็นเพราะต้องการผยุงราคาหุ้น ตรงนี้จะเกิดโทษในอนาคต ดังนั้นผู้ลงทุนก็ยังจำเป็นต้องเข้าใจถึงตัวบริษัทด้วยตัวเอง ไม่ใช่การตะบี้ตะบันเข้าซื้อเพียงเพราะบริษัทประกาศซื้อหุ้นคืนเพียงอย่างเดียว
== การซื้อหุ้นคืนในมุมมองเซียน มีความเห็นอย่างไร ==
ในมุมมองของวอเร็น บัฟเฟตต์ นั้น เขาเคยกล่าวว่า เขาชอบการซื้อหุ้นคืนของบริษัทมากกว่า เพราะเป็นสิ่งง่ายๆที่ผู้บริหารจะตอบแทนให้กับผุ้ถือหุ้น ซึ่งจะให้ผลดีมากกว่าการไปไล่ซื้อกิจการที่มีราคาแพงเพื่อเพิ่มรายได้ที่ไม่รู้กี่ปีจะถึงจุดคุ้มทุน
อย่างไรก็ตาม การซื้อหุ้นคืน ต้องซื้อในราคาที่สมเหตุสมผล ไม่ใช่การซื้อในราคาที่แพงเพื่อพยุงราคาหุ้น ตรงนี้จะมีผลร้ายกับบริษัทจะตามมาในอนาคต ...
ปีเตอร์ ลินซ์ ตำนานของผู้จัดการกองทุนเคยเขียนถึงเรื่องการ "ซื้อหุ้นคืน" ไว้ในหนังสือ One Up On Wall Street เอาไว้ว่า การซื้อหุ้นคืนคือวิธีที่จริงใจที่สุด ที่ผู้บริหารจะตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้น แต่ส่วนใหญ่มักจะไม่ทำกัน เพราะว่าไม่มีความท้าทาย และเป็นวิธีโบราณที่ดูไม่มีวิสัยทัศน์ในโลกของธุรกิจ ถ้ามีผู้บริหารบริษัทหนึ่งประกาศซื้อกิจการ ข่าวนี้จะเรียกเสียงฮือฮาได้ทั้งในหนังสือพิมพ์ข่าวเศรษฐกิจ ตลาดหุ้น รวมถึงจะช่วยเพิ่ม "ชื่อเสียง" ของผู้บริหารว่าเป็นคนมีวิสัยทัศน์และดำเนินกลยุทธ์เทห์ๆในโลกธุรกิจที่เรียกว่า "Synergy"
ในทางตรงกันข้าม ถ้าผู้บริหารประกาศ "ซื้อหุ้นคืน" จะมีสักกี่คนที่สนใจ ผู้บริหารคนนี้อาจจะไม่ได้ขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ หรือมีสำนักงานข่าวมาขอสัมภาษณ์ รวมถึงภาพลักษณ์ก็จะดู "เฉยๆ" มากในโลกธุรกิจ
แต่อย่างไรก็ตามการซื้อหุ้นคืน คือวิธีที่นักลงทุนพันธุ์แท้จะเข้าไปทำการบ้านต่อว่า การซื้อหุ้นคืนครั้งนี้จะมีผลดีต่อบริษัทมากน้อยแค่ไหน โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปในทางบวกมากกว่าเป็นทางลบ ...
ครั้งหนึ่ง ดร.นิเวศน์ เคยเขียนบทความเกี่ยวกับเรื่อง "ซื้อหุ้นคืน" เอาไว้ว่า สิ่งที่บริษัทจะทำกับผู้ถือหุ้นได้ มีอยู่ 2 แบบ คือ "ออกหุ้นเพิ่ม" และ"ซื้อหุ้นคืน" ในกรณีแรกคือการออกหุ้นเพิ่ม เงินของผู้ถือหุ้นจะถูก "ดูด" เข้ากระเป๋าของบริษัท ซึ่งผุ้ถือหุ้นไม่ยินดีให้เป็นแบบนั้น
ในทางตรงกันข้าม บริษัทก็สามารถ "จ่าย" เงินออกไปให้กับผู้ถือหุ้นได้ด้วย 2 วิธี คือ จ่ายเงินปันผล และซื้อหุ้นคืน ซึ่งเป็นวิธีที่ผู้ถือหุ้นยินดีให้เป็นแบบนั้น เพราะอย่างน้อยสุดก็มีผลต่อตัวราคาหุ้นในระยะสั้น
อย่างไรก็ตาม การประกาศเพิ่มทุน ออกหุ้นเพิ่ม ให้สิทธิผู้ถือหุ้น ขายหุ้นแก่นักลงทุนอื่น แจกวอร์แรนท์ หรือแม้แต่ซื้อหุ้นคืน รวมถึงการลดพาร์ของหุ้นและอื่น ๆ ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทยนั้น ส่วนใหญ่แล้วเป็นเรื่องของการ "เล่นเกม" การเงินที่พยายามเพิ่มราคาและมูลค่าหุ้นโดยที่มีผลกระทบกับพื้นฐานน้อย
ดังนั้น มันจึงไม่เหมาะที่จะถือระยะยาว แต่เหมาะกับการเล่นเก็งกำไรสำหรับคนที่รู้ข้อมูลและคนที่มีโอกาสในการเล่นเกมนี้มากกว่าคนอื่น .... นี้ก็เป็นการวิเคราะห์ในแบบฉบับของ ดร.นิเวศน์ ครับ
ในมุมมองของผู้เขียน ถ้าบริษัทไหนประกาศ "ซื้อหุ้นคืน" จะมองเป็นสัญญาณบวกไว้ก่อน เพราะหุ้นที่ถูกซื้อคืนนั้นจะน้อยลง ปันผลต่อหุ้นที่มากขึ้น กำไรต่อหุ้นก็เพิ่มขึ้นภายใต้สมมุติฐานที่ว่าบริษัทรายได้เท่าเดิม แต่ประเด็นต่อไปที่ต้องวิเคราะห์ต่อนั้น คือ ราคาหุ้นที่บริษัทประกาศซื้ออยู่ในโซนแพงหรือไม่ ถ้าการประกาศซื้อนั้นไม่อยู่ในโซนแพง จะเป็นบวกในระยะยาวมากๆ แต่ถ้าซื้อในโซนแพงอาจจะมีประเด็นเรื่องของการพยุงราคาหุ้น กลายมาเป็นผู้บริหารลงมา "เล่นหุ้น" กับผู้ถือหุ้นซะเอง
อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร คือบุคคลสำคัญ นอกจากผู้ลงทุนจะต้องศึกษาธุรกิจของตัวหุ้นแล้ว เราอาจจะต้องศึกษานิสัยใจคอของผู้บริหารด้วยว่าเป็นอย่างไร วิธีที่ง่ายที่สุดเราอาจจะเอาชื่อผู้บริหารไปค้นหาใน "google" เพื่อดูว่าที่ผ่านมาเขาเป็นอย่างไร มีวิสัยทัศน์ต่อธุรกิจอย่างไร และจะทำอะไรต่อไปในอนาคต หลังจากนั้นอาจจะติดต่อกับโบรคเกอร์เพื่อขอดูว่า ช่วงหลายเดือนที่ผ่านมานี้ ผู้บริหารมีการซื้อหุ้นตัวเองบ้างหรือไม่ ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลฟรีที่หาได้ในอินเตอร์เน็ต อยู่ที่ว่าผู้ลงทุนจะทำการบ้านด้วยตัวเองมากน้อยแค่ไหนครับ ...