การลงทุนอาจเป็นเรื่องที่ยากสำหรับใครหลายคน จากข้อจำกัดในด้านความรู้ กลัวความเสี่ยง ไม่มีเวลามานั่งเฝ้า เคยมีประสบการณ์ที่ไม่ดีในการลงทุนมาก่อนหรือบางท่านอาจไม่เห็นด้วยที่จะลงทุน โดยเฉพาะในหุ้น ที่มักได้ยินกิตติศัพท์ในด้านลบบ่อยครั้ง บางก็ว่าไม่ต่างจากการพนัน แต่ทำไมยังมีกลุ่มคนที่สามารถอยู่ในวงการนี้ได้อย่างยาวนานและมั่งคั่งขึ้นเรื่อยๆ ?
ก่อนที่เราจะเริ่มต้นลงทุน สิ่งที่สำคัญที่สุดคงต้องมองที่วัตถุประสงค์การลงทุนของเรามาเป็นอันดับหนึ่ง เราต้องมองตัวเองให้ชัดว่าสามารถยอมรับความเสี่ยงได้แค่ไหน และที่ความเสี่ยงเท่านี้สามารถคาดหวังผลตอบแทนได้ประมาณเท่าไร เนื่องจากความเสี่ยงและผลตอบแทนนั้นจะล้อกันอยู่เสมอ เหมือนคำที่เราได้ยินกันอย่างหน้าหูว่า High Risk - High Expected Return
กองทุนรวม
ในปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ตอบโจทย์คนทุกรูปแบบ แม้ว่าจะมีเงินลงทุนไม่มาก แต่สามารถเริ่มต้นลงทุนได้ โดยเฉพาะการลงทุนผ่านกองทุนรวม นอกจากจะเหมาะกับคนที่มีเงินทุนน้อยแล้ว ยังช่วยลดข้อจำกัดที่กล่าวมาไว้อีกด้วย เพราะว่ามีคนค่อยช่วยดูแลให้ แต่เรายังจำเป็นต้องเลือกลงทุนในกองทุนที่น่าเชื่อถือ มีผลการดำเนินงานที่ดี มีความเสี่ยงและผลตอบแทนที่เหมาะสม ซึ่งลักษณะกองทุนก็มีหลากหลายประเภทตามระดับความเสี่ยงต่างๆ
Credit : https://www.wealthmagik.com
ถ้าหากการลงทุนในกองทุนยังไม่ร้อนแรงพอ พร้อมทลายข้อจำกัดและอยากจะลงทุนด้วยตนเอง การลงทุนที่ฮิตฮอตและเข้าถึงง่าย คงไม่พ้นการลงทุนในหุ้น, อสังหาฯและที่มาแรงแซงทางโค้งอย่าง Startup ซึ่งการเริ่มต้นลงทุนในผลิตภัณฑ์เหล่านี้ จำเป็นต้องเรียนรู้พื้นฐานการลงทุน เพื่อให้สามารถตัดสินใจลงทุนได้อย่างถูกต้อง
หุ้น
หุ้นคืออะไร? คือ การแบ่งมูลค่าของบริษัทออกเป็นหลายๆส่วนเพื่อเสนอขายให้กับนักลงทุน การที่เราลงทุนในหุ้นก็เปรียบเสมือนว่าเราเข้าไปเป็นเจ้าของบริษัท โดยสามารถแบ่งผลตอบแทนได้ 2 แบบ ทั้งจากการเก็งกำไรและเงินปันผล ซึ่งเป็นกำไรจากการดำเนินงานของบริษัท โดยการเล่นหุ้นแบบเน้นผลตอบแทนจากเงินปันผลหรือที่เรียกว่า “การออมหุ้น” จะเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เราอยู่ยงคงกระพันในตลาด ทำไมล่ะ?
เนื่องจากลักษณะการลงทุนแบบออมหุ้น คือ ซื้อแล้วถือยาว ถ้าหากถือนานพอจนคืนทุนแล้ว หุ้นตัวนี้ก็จะเป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันหรือ Passive Income นั้นเอง โดยค่าเฉลี่ยแล้วตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนที่ประมาณ 12% หากเราเลือกลงทุนในหุ้นพื้นฐานดี ซึ่งมีโอกาสเติบโตมากกว่าตลาดอยู่แล้ว ก็จะทำให้เงินทุนที่เราลงไปเติบโต 12% หรือมากกว่านั้น โดยปราศจากความเสี่ยงในเรื่องของจังหวะการซื้อขาย ประกอบกับพลังของดอกเบี้ยทบต้น หากนำเงินปันผลไปลงทุนต่อก็จะยิ่งทำให้ได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น
นอกจากนี้การเลือกหุ้นพื้นฐานดีก็เป็นส่วนสำคัญ แต่เราจะเลือกหุ้นเหล่านี้ได้อย่างไร? โดยหลักๆแล้วเราจะวิเคราะห์จากปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental) ซึ่งวิธีที่ง่ายและเป็นที่นิยม คือ Top Down Analysis โดยวิเคราะห์ 3 STEP
การวิเคราะห์เหล่านี้อาจจะไม่ใช่เรื่องง่าย ยังมีประเด็นแยกย่อยอีกมาก ซึ่งต้องใช้ประสบการณ์และความเข้าใจอยู่บ้าง แต่ไม่ยากถึงขนาดต้องเอาแขนล่างก่ายหน้าผาก การฝึกอ่านข่าว อ่านหนังสือและบทวิเคราะห์บ่อยๆจะช่วยให้เราวิเคราะห์ได้ลึกซึ้งขึ้น
นอกจากนี้การยังมีการวิเคราะห์อีกรูปแบบหนึ่งที่จะเป็นเหมือนลายแทงสมบัติที่บอกพิกัดหรือจังหวะการลงทุนที่เหมาะสม นั้นคือการวิเคราะห์ทางเทคนิค (Technical) โดยส่วนใหญ่จะใช้ข้อมูลราคาและปริมาณการซื้อขายหุ้นตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันมาวิเคราะห์
รวมทั้งการเข้าใจลักษณะทั่วไปของตลาดหุ้นก็จะยิ่งช่วยให้เราไม่ตกหลุมพรางได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นหุ้นปั่น หุ้นเด็ดต้องซื้อ อะไรที่มาเร็วไปเร็วและน่าเย้ายวนแบบนี้ ไม่น่าไว้ใจอย่างยิ่งหลีกเลี่ยงไว้ดีที่สุด
อสังหาริมทรัพย์
หลายคนคงอยากลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งเป็นที่นิยมไม่ว่าจะเป็นบ้าน ที่ดิน หรือคอนโดมิเนียม จากราคาที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามอัตราเงินเฟ้อ แถมสร้างรายได้ได้หลากหลายพลิกแพลงเป็นธุรกิจได้และเป็นการลงทุนเพียงอย่างเดียวที่สามารถกู้เงินทุนจากธนาคาร ถึงแม้จะมีจุดเด่นในหลายด้านแต่ก็ต้องยอมรับว่าการลงทุนใช้เงินเป็นจำนวนมาก มีภาระผูกพันยาว รวมถึงความยุ่งยากในการดำเนินการ เราจึงจำเป็นต้องศึกษาเทคนิคการลงทุนให้โชกเลือด เอ้ย!โชกโชน
ปัจจุบันเส้นทางรถไฟฟ้าเข้ามามีบทบาทอย่างมากต่อการตัดสินใจเลือกลงทุนในอสังหาฯ ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงราคาของทำเลต่างๆสูงมากกก
เช่น
ในพื้นที่รอบๆ สี่แยกเพลินจิตตัดการถนนวิทยุที่ในอดีตก่อนหน้านี้ ราคาที่ดินแถวนั้นอยู่ที่ประมาณ 8-9 แสนบาทต่อตารางวาเท่านั้น แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียง 5 ปี ราคาซื้อขายที่ดินปรับขึ้นไปถึง 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา ทั้งที่เป็นทำเลเดียวกันไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเท่าไรเพราะรถไฟฟ้าก็เปิดให้บริการแล้วหลายปี ดังนั้น เส้นทางรถไฟฟ้าจึงเป็นสิ่งที่ต้องคำนึงถึงอันดับต้นๆก่อนเลือกลงทุน
แต่ยังมีเทคนิคอีกมากที่จะทำให้เราโชกโชนในการลงทุนอสังหาฯ ขอย่อสั้นๆเป็น 7 ขั้นตอน
ขั้นตอนแรกที่ควรทำ คือ วางแผนความต้องการและเงินทุน ว่าเราต้องการลงทุนนานกี่ปี จะขายเก็งกำไรหรือปล่อยให้เช่า ใช้เงินทุนเท่าไรหาได้จากแหล่งไหนบ้าง เมื่อพบคำตอบแล้วค่อยหาทำเลที่ใช่ ลักษณะที่ชอบได้เลย อาจจะคัดจาก Spec คัดจากยูนิต เปรียบเทียบคู่แข่ง ราคาต่อตารางเมตร ส่วนลด สิทธิพิเศษต่างๆ และสุดท้ายคือดูตัวเรา หากจำเป็นต้องใช้สอยอสังหาฯนั้นเอง อสังหาฯนั้นจะสามารถสร้างประโยชน์ในเราได้ไหม ซึ่งเทคนิคและตัวอย่างบางส่วนมาจากหนังสือ 4 ศาสตร์การลงทุน ของเขาดีจริงไปติดตามกันได้นะคะ^^
Startup
ถ้าพูดถึง Startup เราคงนึกถึงอะไรที่เกี่ยวกับแอพพลิเคชั่น เทคโนโลยีไอเดียล้ำๆเจ๋งๆ เนื่องจาก Startup เป็นธุรกิจที่ต้องเติบโตแบบก้าวกระโดด การใช้เทคโนโลยีผสมผสานกับโมเดลธุรกิจจะช่วยให้การขยาย Scale ทำได้ง่ายและใช้ต้นทุนต่ำกว่าการขยายธุรกิจรูปแบบอื่นๆ
การพิจารณาเพื่อตัดสินใจลงทุนจะขึ้นอยู่กับความชอบและเห็นโอกาสเติบโตในอนาคต เน้นใช้ใจเลือกล้วนๆ เพราะไม่มีตัวเลขในอดีตหรือเครื่องมือชี้วัดผลการดำเนินงานได้อย่างชัดเจน ซึ่งหากประสบความสำเร็จการลงทุนใน Startup จะทำให้ได้รับผลตอบแทนสูงลิบลิ่วเลยทีเดียว
Asset Allocatio
อย่างไรก็ตาม อีกสิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย คือ การกระจายการลงทุน ดังประโยคที่คุ้นหูใครหลายคนอย่าง “อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว” การที่เรานำเงินไปลงทุนในสิ่งเดียว หากเกิดความผิดพลาด ย่อมสร้างความเสียหายได้มากกว่าการกระจายเงินไปลงทุนในหลายๆสิ่ง การลงทุนเพียงสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูง อาจไม่ใช่การลงทุนที่ดีเสมอไป การปรับพอร์ตให้เหมาะสมกับตนเองจะช่วยลดความเสี่ยงและสร้างผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้
หลังจากเล่ากันมายืดยาว คงจะทำให้เรามองเห็นภาพกว้างๆของการลงทุนแล้ว แต่หัวใจของการลงทุนไม่ใช่มีศาสตร์หรือความรู้เพียงอย่างเดียว ต้องมีศิลป์ มีความรู้สึกรักในสิ่งที่ลงทุนด้วย และแม้ว่าการลงทุนจะดูเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก แต่หากเราลองเปิดใจอาจจะพบขุมสมบัติล้ำค่าที่ซ่อนอยู่ก็เป็นได้