หลายคนคงเคยสงสัยว่าการเล่นหุ้นแนวเทคนิคคอลจะเวิร์คจริงๆไหม สำหรับใครที่เล่นแนวปัจจัยพื้นฐานมาตลอด อาจจะไม่เชื่อว่าเทคนิคคอลจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในการลงทุน ในความเข้าใจของคนที่ไม่เคยสัมผัสการเล่นแนวเทคนิคคอล คงรู้สึกว่าการเล่นแนวนี้เป็นเพียงการเก็งกำไรแบบฉาบฉวย ซึ่งมันก็เป็นความจริง แต่เพียงบางส่วนเท่านั้น หากศึกษาแนวทางแบบเทคนิคคอลให้ลึกซึ้งและถูกต้องแล้ว วิธีการนี้จะช่วยให้เราได้ผลลัพธ์จาการลงทุนที่เกินความคาดหมายอย่างแน่นอน คนที่ฟันดาบมือเดียวคงจะสู้คนที่ใช้ดาบเป็นทั้ง 2 มือไม่ได้ ความรู้พื้นฐานจะทำให้เราเลือกหุ้นได้ถูกตัว แต่ความรู้เทคนิคจะทำให้เราเลือกหุ้นได้ถูกเวลา
โดยแก่นหลักของวิธีการเล่นแบบเทคนิคคอลนั้น จะใช้สถิติในอดีตมาพิจารณาแนวโน้ม และจิตวิทยาการลงทุนจะเป็นส่วนที่เข้ามาสอดแทรกในการตัดสินใจลงทุนค่อนข้างมาก เราจะสังเกตุเห็นได้ว่ามีนักลงทุนบางกลุ่มที่เล่นหุ้นแนวเทคนิคคอลแต่ไม่รุ่ง อาจจะเพราะมีความเข้าใจหรือความเชื่อมาผิดๆ ในการใช้เครื่องมือต่างๆ
การเล่นแบบเทคนิคคอลอาจจะดูยากและซับซ้อน แต่บางเครื่องมือสามารถประยุกต์ใช้ในการดูหุ้นได้เกือบทุกตัว การเรียนรู้พื้นฐานเทคนิคคอลให้เข้าใจอย่างถูกต้องนั้นจะช่วยต่อยอดผลตอบแทนจากการลงทุนให้สูงขึ้น ทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงในด้านราคาที่เราอาจซื้อในราคาที่สูงเกินไปและขายในราคาที่ต่ำเกินไปอีกด้วย เรามาดูกันดีกว่าคะ ว่าพื้นฐานในการวิเคราะห์แบบเทคนิคคอลมีอะไรบ้าง
พื้นฐานสำคัญที่เราควรรู้
- รู้จักกราฟและหลักการทางเทคนิค
- Direction คืออะไร สำคัญอย่างไร
- วิธีตั้งกราฟให้เหมาะและเข้าใจง่าย
- การอ่าน Chart Pattern & Indicators
รู้จักกราฟและหลักการทางเทคนิค
การวิเคราะห์หุ้นแบบเทคนิคคอล มีหลักการและความเชื่อที่อ้างอิงมาจากทฤษฎีหนึ่งที่เรียกว่า ทฤษฎีดาว ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาการวิเคราะห์หุ้นแบบเทคนิคคอลจนถึงทุกวันนี้ ผู้เขียนจึงขอสรุปหลักการและความเชื่อที่สำคัญสำหรับนักเทรดมือใหม่เป็นกฎ 3 ข้อสั้นๆ
1.ราคาสะท้อนทุกสิ่งแล้ว
2.ราคาเคลื่อนไหวอย่างมีแนวโน้ม
3.แนวโน้มในอดีตมีโอกาสเกินขึ้นอีก
ส่วนพื้นฐานที่เราต้องเข้าใจในการลงทุนแนวเทคนิคคอลอย่างแรก คือ เราต้องรู้จักกราฟ มันอาจจะยุ่งยากในช่วงแรกที่ต้องเรียนรู้ในภาพกว้าง เพื่อให้เข้าใจกระบวนท่าต่างๆก่อน
ลักษณะของกราฟมีหลายรูปแบบ แต่ที่เป็นที่นิยมที่สุดเราคงจะเคยเห็นกัน ที่มีสีเขียวๆแดงๆอย่าง Candlestick chart หรือกราฟแท่งเทียน แสดงผลโดยบอกข้อมูลดิบของราคา ซึ่งจะบ่งบอกถึงราคาเปิด-ปิดและราคาที่เคลื่อนไหวระหว่างวันของหุ้นที่สูงสุดและต่ำสุด
Credit: Candlestick chart, https://www.wikipedia.org
- แท่งสีเขียว หมายถึง ราคาปิดสูงกว่าราคาเปิด
- แท่งสีแดง หมายถึง ราคาปิดต่ำกว่าราคาเปิด
Direction คืออะไร สำคัญอย่างไร
Directionหรือกราฟที่มีแนวโน้ม การหา Direction หรือแนวโน้มหลักให้เจอ แล้วเกาะไปกับแนวโน้มนั้นจนกว่ามันจะเปลี่ยนเทรนเป็นสิ่งสำคัญในการทำกำไรจากวิธีทางเทคนิค ซึ่งเราจะเรียกว่า การรันเทรน โดยแนวโน้มจะแบ่งเป็น 3 ประเภทใหญ่ๆด้วยกัน
- Uptrend แนวโน้มขาขึ้น ยอดใหม่สูงกว่ายอดเดิม ก้นใหม่สูงกว่าก้นเดิม
- Downtrend แนวโน้มขาลง ยอดใหม่ต่ำกว่ายอดเดิม ก้นใหม่ต่ำกว่าก้นเดิม
- Sideway ไม่มีแนวโน้ม
โดยเราจะต้องทำความเข้าใจพื้นฐานที่จะช่วยวิเคราะห์แนวโน้มอย่างการหาจุดกลับตัว แนวรับแนวต้าน และการตี Trend Line รวมทั้ง Volume ว่ามีผลต่อการขึ้นลงของกราฟอย่างไร ซึ่งจะช่วยต่อยอดไปใช้กับ Indicator ต่างๆได้
วิธีการตั้งกราฟให้เหมาะและเข้าใจง่าย
การจัดหน้าตากราฟให้ดีและเหมาะสมในการใช้งาน จะช่วยเพิ่มความแม่นยำในการดูและสะดวกในการใช้งานมากขึ้น ถ้ากราฟ Set up ไม่ดี ไม่เหมาะสม ก็จะกลายเป็นอุปสรรคและสร้างความสับสนในการตัดสินใจได้
1. กราฟอย่ารก การใส่ Indicator เข้าไปเยอะๆจะทำให้เรางงหรือสับสนจนอาจจะตัดสินใจผิดพลาดได้ คือยิ่งใช้เครื่องมือเยอะยิ่งเจ๊งนะ เพราะว่าสัญญาณมันขัดแย้งกันทำให้เกิดความสับสน ดังนั้น ควรเลือกใช้เฉพาะ Indicator ที่ให้น้ำหนักในการตัดสินใจมากที่สุดมาใช้งาน แนะนำว่าไม่ควรใส่ Indicator เกิน 4 ตัวจะเวิร์กที่สุด
2. ไม่ใช่ซ้ำประเภท Indicator แต่ละอย่างมีหน้าที่ในการแสดงผลและสัญญาณที่แตกต่างกัน เราไม่ควรใส่ Indicator ที่ทำหน้าที่คล้ายกัน เพราะจะทำให้ซ้ำซ้อนและเกิดความสับสนขึ้นได้ โดยแบ่งหน้าที่ที่แตกต่างกันของ Indicator ได้เป็น 4 ประเภท
- Overlay เป็นเส้นค่าเฉลี่ยที่วิ่งทับไปกับ Candlestick chart เช่น Moving Average(EMA), Bollinger, Parabolic
- Volume แสดงปริมารการซื้อขาย เช่น Volume, On Balance Volume(OBV)
- Momentum แสดงกำลังหรือแรงเหวี่ยงของราคาหุ้น เช่น MACD
- Oscillator ใช้ดูการแกว่งเป็นรอบๆ ช่วยดู cycle ของราคา เช่น RSI, Slow Stochastic
3.ตั้งแกนกราฟให้ดี กราฟจะมีแกน X เป็นเวลาและมีแกน Y เป็นราคา การตั้งแกนให้เหมาะสมนั้น แกน X ควรจะวิ่งติดต่อกันไป ไม่มีช่องว่างของวันหยุดทำการหรือวันที่หยุดการซื้อขาย ส่วนแกน Y ควรตั้งให้เป็น Log Scale เนื่องจากหากราคากราฟวิ่งตั้งแต่ราคาต่ำบาทไปถึงหลักสิบ หลักร้อยบาท จะทำให้การตีเส้น trend line คาดเคลื่อนได้ เลยดูเหมือนว่าไม่แม่น แต่จริงๆแล้วเกิดจากการตั้งแกน Y เป็น Linear Scale ต่างหาก
4.จำนวนแท่งเหมาะสม ภาพกราฟที่จะแสดงสัญญาณทางเทคนิคที่ดีนั้น ต้องมีระยะเวลาไม่มากหรือน้อยเกินไปที่จะแสดงรอบการขึ้น-ลงของราคาในอดีต ที่เหมาะสมควรมีประมาณ 130-150 แท่ง เพื่อในสามารถดูราคาย้อนหลังของหุ้นได้อย่างครอบคลุม ซึ่งใน Time Frame ที่ต่างกันจะแสดงผล ดังนี้
- 60 min Chart สะท้อนราคาหุ้นย้อนหลังประมาณ 1 เดือน
- Day Chart สะท้อนราคาหุ้นย้อนหลังประมาณครึ่งปี
- Week Chart สะท้อนราคาหุ้นย้อนหลังประมาณ 2 ปีครึ่งถึง 3 ปี
5.Time Frame ที่เหมาะสมกับสไตล์การลงทุน หากเราเล่นแบบ Day Trade ก็ควรจะตั้ง Time Frame เป็นนาทีไปเลย เช่น 60 min Chart และไม่ควรเปลี่ยน Time Frame ในการตัดสินใจกลับไปกลับมา เพราะเราอาจจะสบสนได้เนื่องจากสัญญาณการชื้อขายอาจสวนทางกัน
6.ดูกราฟมากกว่า 1 Time Frame อาจจะงงว่าทำไม จริงๆเราควรมีเพียง 1 Time Frame หลักที่ใช้ในการตัดสินใจ แต่ก็ควรพิจารณา Time Frame ที่ให้ภาพใหญ่ขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ เช่น ถ้าเราดู Day Chart ในการตัดสินใจ ก็ควรดู Week Chart ประกอบด้วย
การอ่าน Chart Pattern & Indicators
การคาดเดาการเคลื่อนที่ของราคา เพื่อประเมินการเคลื่อนที่ของราคาเราจำเป็นต้องเข้าใจรูปแบบ Chart Pattern ซึ่งเป็นการอ่านกราฟในภาพรวมใหญ่ โดยหลักแล้วจะแบ่งออกเป็น 2 รูปแบบใหญ่ๆ คือ
1. รูปแบบกลับตัว (Reversal Pattern) คือ เมื่อราคาวิ่งขึ้นหรือลงในทิศทางที่ชัดเจน จากนั้นชะลอตัวเกิด Pattern ได้สำเร็จ ราคาจะเปลี่ยนทิศทางจากขาขึ้นเป็นขาลง หรือ จากขาลงเป็นขาขึ้น
2. รูปแบบต่อเนื่อง (Continuous Pattern) คือ เมื่อราคาวิ่งขึ้นหรือลงในทิศทางที่ชัดเจน จากนั้นชะลอตัวเกิด Pattern ได้สำเร็จ จะเป็นการยืนยันว่าราคาจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดิม
Credit: https://www.forexboat.com/3-best-chart-patterns-for-intraday-trading-in-forex/
อ้างอิงบทความ: หนังสือ Wave Riders โต้คลื่นหุ้น รู้ทันเทคนิค, ประกาศิต ทิตาราม
ตอนหน้า เราจะมาทำความเข้าใจเรื่อง การหาจุดซื้อจุดขายเราจำต้องพึ่งพา Indicator สำหรับมือใหม่นั้น แนะนำให้ทำความเข้าใจ Indicator 4 ประเภทหลักๆ คือ EMA, Volume, MACD และ RSI