#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

ซื้อตามทุกคนบอก … ทำไมไม่กำไรสักที

โดย รุ่งโรจน์ แก้วกาญจนา
เผยแพร่:
132 views

หุ้นตัวนี้น่าสนใจ … น่าซื้อเก็บไว้

กองทุนนี้ผลตอบแทนดีมากๆเลย … น่าลงทุนนะ

 คอนโดนี้ดีราคาขึ้นเร็วมากเลย … น่าจะเก็บไว้สักห้อง

ผมเชื่อว่าหลายๆท่าน ที่ชื่นชอบในเรื่องการลงทุนน่าจะเคยได้ข้อมูลด้านบนนี้มาบ้าง ไม่มากก็น้อย

และก็เชื่อว่าหลายท่านที่ลงทุนมาสักพักหนึ่งต้องเคยซื้อของที่ผลตอบแทนดีมากๆเลย มาอยู่ในพอร์ต (สักพักหนึ่ง) ซึ่งน่าจะได้ผลตอบแทนมากมายหลายเท่าทีเดียว ถ้าไม่ขายทิ้งไปสะก่อน

แต่เดี๋ยวก่อนนะครับ ผมไม่ได้บอกว่าของทุกอย่างถ้าไม่ขายแล้วจะดีหมดนะครับ เพราะถ้าของที่ซื้อมาไม่ดี ทิ้งไว้ในให้ตาย มูลค่าก็ไม่โต แต่สิ่งที่ผมอยากบอกคือการลงทุนมันก็เป็นอย่างนี้แหละ ซื้อของดีบ้าง ซื้อของไม่ดีบ้าง ปนๆกันไป

แต่สิ่งที่ทำให้เงินเราไม่โตเพราะว่า เวลาเราซื้อของดีแล้ว กำไรนิดหน่อยก็รีบขาย เพราะกลัวมันจะตก แต่เวลาซื้อของไม่ดีแล้ว ขาดทุนเท่าไรก็ไม่อยากขาย เพราะอยากให้มันกลับมาที่เดิม เมื่อเราทำซ้ำๆแบบนี้ไปเรื่อย ทำยังไงเงินก็ไม่โตครับ เพราะเวลากำไรก็ได้มานิดหน่อย แต่ขาดทุนนี้จัดมาเต็มๆ

พออ่านมาถึงทุกท่านอาจคิดว่า ถ้าอย่างนี้ซื้อของดีแล้วก็ปล่อยให้มันโตและถ้าซื้อของไม่ดีมาแล้วรู้จัก Cut Loss ก็น่าจะจบ หรือที่เขาเรียกว่า Let’s Profit Run & Cut Loss

หลายๆท่านที่ทำมาถึงจุดนี้ก็น่าจะได้ผลที่ดีขึ้นระดับหนึ่ง แต่รู้หรือไม่ว่ามันก็ยังไม่ใช้ทั้งหมด เพราะจริงๆแล้วท่านทำไปแค่หนึ่งในสามของหลักเกณฑ์สำคัญในการลงทุน ท่านแค่พยายามแค่ตอบคำถามว่าซื้ออะไรดี หรือ Stock Selection แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่มีผลกับผลตอบแทนในการลงทุนของเรามีอยู่ 3 องค์ประกอบหลักๆด้วยกันคือ

  1. Asset Allocation มีผลกับผลตอบแทนระยะยาวถึง 90 กว่า %
  2. Stock Selection มีผลกับผลตอบแทนระยะยาวประมาณ 5%
  3. Market Timing มีผลกับผลตอบแทนระยะยาวประมาณ 2%

ดูผล Research ตามรูปประกอบได้

หลายๆ อาจมีข้อสงสัยในใจ ทำไม Market Timing มีผลแค่ 2% และ Stock Selection มีผลแค่ 5% เพราะถ้าเราซื้อของถูกจังหวะและซื้อของถูกตัวก็น่าจะได้กำไรมหาศาลแล้ว

จริงๆแล้วท่านเข้าใจไม่ผิดหรอกครับ ถ้าซื้อ และขายของถูกเวลาตลอดๆ ยังไงก็กำไรมหาศาล แต่ในความเป็นจริง เราไม่ได้ซื้อและขายได้ถูกจังหวะ ตลอดเวลา ก็ถูกบ้าง ผิดบ้าง ปนๆกันไป สุดท้ายระยะยาวก็ไม่มีผลอะไร

และเหตุผลที่ Stock Selection มีผลแค่ 5% เพราะถ้าเกิดเราแบ่งเงินได้ไม่ดี ในช่วงที่ผ่านมาเอาเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นญี่ปุ่นหมด ในช่วง 20 กว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งตลาดหุ้นญี่ปุ่นติดลบประมาณ ปีล่ะ 4% ต่อให้เลือกหุ้นเก่งยังไงก็แล้วแต่ เมื่อตลาดโดยรวมไม่โต มันก็มีโอกาสน้อยมากที่หุ้นที่เราเลือกอยู่ในตลาดหุ้นญี่ปุ่นจะเติบโต

ในทางกลับกันการที่ Asset Allocation หรือการแบ่งเงินนั้นมีผลถึง 90% เพราะถ้าคุณกระจายเงินไปลงทุนในตลาดหุ้นไทย  ตลาดหุ้นต่างประเทศ และสินทรัพย์อื่นๆ เช่นทองคำและ ตราสารหนี้ได้ดีเพียงพอ (เน้นว่าต้องกระจายได้ดีเพียงพอนะครับ เพราะบางคนกระจายแล้วแต่ยังไม่ดีเพียงพอก็ไม่ Work) เมื่อคุณลงทุนไปยาวระดับหนึ่งสิ่งที่คุณจะได้คือค่าเฉลี่ยของตลาดของสิ่งที่คุณลงซึ่งค่าเฉลี่ยของตลาดในสินทรัพย์ส่วนใหญ่ในระยะยาว ก็เป็นบวกมาตลอดเพราะเงินในโลกมันไม่เคยลดลงเลยครับ มีแต่เพิ่มขึ้น

เพราะฉะนั้น อย่ามัวแต่ไปตอบคำถาม แค่ซื้ออะไร และซื้อเมื่อไร???

เพราะถ้าคุณยังไม่กระจายเงินลงทุนให้ดีตั้งแต่วันนี้

โอกาสที่เงินจะเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ก็จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอนครับ

--------------------

"Value Investor กองทุนรวม เป็นง่ายกว่าที่คิด ... 
กองทุนพื้นฐานดี หาง่ายกว่าหุ้นพื้นฐานดี"

หลักสูตร เปิดมิติกองทุนรวม :

ใช้กองทุนอย่างไรได้ประโยชน์สูงสุด

>>> https://www.stock2morrow.com/course/seminar_courses_list.php?id=409

 


อดีตผู้บริหารจากบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน
Executive Director and Co-Founder บริษัท Union Wealth 
Key Person ในการพัฒนาระบบ Nomura iFUND ที่รวมกองทุนจากทุก บลจ. ไว้ใน Platform เดียว
ผู้เชี่ยวชาญด้านกองทุนและการเงิน

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง