#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

DDD vs. BEAUTY ความงามที่แตกต่าง ?

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
278 views

นักลงทุนหลายคนมักชอบเอาหุ้น 2 ตัวนี้มาเปรียบเทียบกันอยู่บ่อยครั้ง เพราะเข้าใจว่าเป็นธุรกิจที่เกี่ยวกับความสวยงามเหมือนกัน แต่ความจริงแล้ว 2 บริษัทนี้มีความแตกต่างกันพอสมควรทีเดียว อยากรู้มั้ยว่าคืออะไร ตามผมมาเลยครับ

1) Business Model ต่างกัน

DDD อยู่ในธุรกิจ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) คือ เป็นสินค้าอุปโภคบริโภค มีโรงงานของตัวเอง ผลิตสินค้า ส่งไปขายตามห้างร้านค้าปลีกต่าง ๆ ในประเทศ และมีตัวแทนจำหน่ายที่ต่างประเทศ

ส่วน BEAUTY อาจจัดได้ว่าอยู่ในธุรกิจร้านค้าปลีก (Retail) จ้างคนอื่นผลิต ได้สินค้ามา เอามาขายที่ร้านตัวเอง และมีส่งออกไปต่างประเทศ

>> เพราะฉะนั้น DDD จะเติบโตจากสินค้าที่ดี การขยายเข้าร้านค้าได้เยอะ และจูงใจให้ผู้บริโภคมาซื้อแบรนด์ตัวเองเวลาเข้าร้านค้า ต่างกับ Beauty ที่ลูกค้าเข้าร้านคือ ซื้อสินค้าแบรนด์ Beauty แน่ ๆ เพราะขายแต่ของตัวเอง และการเติบโตจะมาจากการขยายร้านให้ได้มาก ๆ กับเพิ่มยอดขายร้านเดิมให้ได้ต่อเนื่อง

2) โครงสร้างงบการเงินต่างกัน

(ใช้ข้อมูลเต็มปี 2560 เพื่อเห็นภาพชัด)

DDD ยอดขาย 100 บาท เป็นต้นทุน 32 บาท ใช้ค่าโฆษณา ค่าตัวดารา เงินเดือน น้ำไฟ 43 บาท จ่ายดอกเบี้ยและภาษี 4 บาท เหลือกำไร 21 บาท

BEAUTY ยอดขาย 100 บาท เป็นต้นทุน 32 บาท ใช้ค่าเช่าร้านค้า ค่าพนักงานขาย น้ำไฟ 27 บาท จ่ายดอกเบี้ยและภาษี 8 บาท เหลือกำไร 33 บาท

>> ต้นทุนขายเท่ากันเลย หลายคนอาจจะเดาว่า Beauty จ้างคนอื่นผลิต ต้นทุนน่าจะสูงกว่า แต่จริง ๆ ไม่ใช่ อาจเป็นเพราะโวลุ่มการผลิตเยอะเลยต่อรองราคาได้ บวกกับ DDD ใช้ capacity ยังไม่ถึง 60% เลยยังไม่ได้ต้นทุนต่อหน่วยที่ดี

>> DDD ใช้จ่ายค่า SG&A สูงกว่ามาก เพราะเงินทุ่มให้กับการตลาดมาก ทั้งจ้างดาราค่าตัวแพง โฆษณาทั้งทีวีและดิจิตอล บวกกับโปรโมชั่นต่าง ๆ เพื่อให้คนรู้จักแบรนด์และเวลามาเดินห้างจะได้ซื้อกลับไปใช้ ขณะที่ Beauty เงินจะไปจมกับค่าพนักงานประจำร้าน ค่าเสื่อมร้าน เพราะเน้นขยายสาขา ทำให้สุดท้าย Beauty มีกำไรมากกว่าถึง 12 บาท

3) กลยุทธ์การเติบโตเหมือนและต่างกัน

  • เหมือนกันคือ ตลาดหลักคือตลาดในประเทศ และขยายไปสู่ต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศจีนเป็นกลุ่มลูกค้าหลัก
  • เหมือนกันคือ หันมาใช้การโปรโมตและขายทางดิจิตอลมากขึ้น แต่ว่า DDD ยังคงใช้สื่อที่เข้าถึงคนจำนวนมากอย่างทีวี และสื่อนอกบ้านเป็นจำนวนมาก
  • ต่างกันคือ DDD เน้นครีมบำรุงผิวหน้า แต่ BEAUTY เน้น Make-up และตามมาด้วยครีมทาหน้า
  • ต่างกันคือ DDD มีสินค้าหลักสิบตัว คือ เน้นของต้องดีจริง เพราะไม่มีร้านค้าเอง แต่ Beauty มีสินค้าหลักร้อยตัว เพราะเป็นร้านตัวเอง และตั้งใจให้ตอบโจทย์กับคำว่า Buffet ที่มีสินค้าให้เลือกได้หลากหลาย
  • ต่างกันคือ DDD เน้นออกสินค้าใหม่ คุณสมบัติใหม่ ขนาดใหม่เพื่อขยายการครอบคลุม แต่ Beauty เน้นขยายร้านค้าหลายรูปแบบ และให้มีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

4) เปรียบเทียบ ROE แบบ Dupont 

ROE คือ การดูผลตอบแทนของผู้ถือหุ้นว่า ถ้าลงเงินไป 100 บาท หุ้นตัวนั้นจะทำกำไรกลับมาได้กี่บาท ซึ่งถ้าดูแค่นี้ Beauty ชนะขาดด้วย ROE 81.3% vs. 13.6%

แต่ถ้าเรามาแยกย่อยแบบ Dupont หรือคือ NPM x Asset Turnover x Leverage Multiplier

ซึ่งเป็นการบอกเราว่าหุ้นตัวนี้มี ROE สูงหรือต่ำมาจาก อัตราการทำกำไร หรือว่าอัตราการใช้สินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพ หรือว่ากู้หนี้ยืมสินมาเพื่อเติบโต มาดูไปพร้อม ๆ กันครับ

BEAUTY มี ROE 81.3% เกิดจาก NPM 32.9 x AT 1.8 x Leverage 1.4

DDD มี ROE 13.6% เกิดจาก NPM 20.8 x AT 0.5 x Leverage 1.1

เราเห็นชัดเจนว่า Beauty เป็นหุ้นที่ผ่านการพิสูจน์ตัวเองมาแล้วว่า การที่ ROE สูง เป็นเพราะกำไรดีคือคีย์หลัก และใช้สินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์ได้พอสมควร ขณะเดียวกันก็ไม่ได้โตจากการก่อหนี้ ส่วน DDD หลัก ๆ คือ โตจากการทำกำไรที่ดีเหมือนกัน แต่ว่ายังใช้สินทรัพย์ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์มากเท่าที่ควร แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้ก่อหนี้เพื่อเติบโต

** BEAUTY หรือ DDD เลือกลงทุนตัวไหนดี **

สรุปให้ฟังแบบนี้

  • BEAUTY พิสูจน์ตัวเองมาแล้วว่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง ROE ก็สูง โตขึ้นเรื่อย ๆ และนักลงทุนก็ยอมซื้อด้วยมูลค่าที่สูงในระดับ P/E 40-50 เท่า มาโดยตลอด แต่ว่าเราก็จะเริ่มเห็นภาพการเติบโตที่ค่อย ๆ ลดระดับความร้อนแรงลงเรื่อย ๆ โดยกำไรสุทธิ Q1’61 อยู่ที่ +41% ซึ่งน้อยกว่าปีที่ผ่าน ๆ มา พอสมควร ทำให้เริ่มมีความกังวลว่า Beauty ยังจะโตต่อไปได้อีกไกลแค่ไหนทั้งในไทยและที่จีน เพราะความคาดหวังสูงมากซะเหลือเกิน
  • DDD เองก็มีความคาดหวังที่ไม่ต่างจาก Beauty เพราะมีการซื้อขายกันด้วย P/E 70-80 เท่า ในขณะที่เราก็เห็นว่า ROE ยังไม่ได้สูงเท่าไหร่ และ Q1’61 เริ่มเห็นสัญญาณของความกังวลว่ายอดขายที่เมืองจีนยังจะโตได้อีกแค่ไหน ถึงแม้ว่ากำไรสุทธิจะโตถึง 80% แต่เพราะหุ้นเพิ่งเข้าตลาดปลายปี ถ้าเทียบ EPS แล้วจะโตเพียง 25% เท่านั้นเอง

ส่วนจะเลือกลงทุนตัวไหน ขึ้นอยู่กับว่าเรามองเห็นอนาคตของหุ้นตัวไหนได้ชัดเจนมากกว่ากัน เราเห็นว่าตัวไหนมีความน่าจะเป็นในการทำกำไรได้มากกว่า แต่ต้องไม่ลืมว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ถ้าเลือกผิดตัวก็จะทำให้เราขาดทุนได้ บางครั้งการอยู่เฉย ๆ ก็อาจเป็นการลงทุนที่ดีที่สุดก็เป็นได้

บทความจากผู้ชนะโครงการ stock writer เขียนโดย วิตามินหุ้น 


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง