วัฏจักรแทบไม่เคยเปลี่ยน
" อะไรที่คนส่วนมากพูดถึงถี่ๆ นั่นคือจุดที่พีค "
หุ้น ทองคำ คอนโดฯ บิทคอยน์ หรือ ธุรกิจนั้นๆอีกมากมาย ที่คนแห่ไปลงทุนตามแบบเค้า
เมื่อแห่ตามกระแส ก็มักจะขาดทุน !
กฏเกณฑ์นี้แทบไม่เคยเปลี่ยน เมื่อไหร่ที่มีความหวือหวาและถูกนำไปพูดปากต่อปากจนเกิดกระแส .. เมื่อนั้นความโลภจะดึงดูดคนวงนอกเข้ามา และนั่นคือจุดที่ปาร์ตี้กำลังจะจบ
ถามว่าทำไมข้อสังเกตุนี้จึงมักจะถูกเสมอ ?
คำตอบ... ก็เพราะว่ากว่าจะเกิดกระแสฮือฮาในวงกว้าง เหตุการณ์นั้นต้องดำเนินมาในระยะเวลาหนึ่งที่มากพอแล้ว
จากช่วงแรกๆ ที่การลงทุนที่ดูสุ่มเสี่ยงของคนวงนอก แต่วงคนในจะกล้าลงทุนด้วยความรู้ความเข้าใจที่มี
ความดูเหมือนเสี่ยงในช่วงแรกๆจะไม่ดึงดูดหน้าใหม่เข้ามานัก
ตรงกันข้ามกับผลตอบแทนที่มากมายล่อตาล่อใจ พร้อมๆกับกระแสสังคม คนรอบตัวก็พูดถึงในสิ่งนั้นๆ ... ความโลภนี่แหละ ดึงดูดคนได้เป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นยุคไหนก็ตาม
รอบที่พักฐานก็ตาม หรือจะเป็นการจบรอบก็ตาม มักจะจบด้วยภาพที่คนวงนอกที่แห่เข้ามาเสมอ
แม้ยุคจะเปลี่ยนไปแค่ไหนก็ตาม แต่พฤติกรรมผู้คนนั้น ... ไม่เคยเปลี่ยน
คู่มือเริ่มต้นลงทุนหุ้น
คำถามที่ใหญ่พอๆกับลงทุนอย่างไรให้รวยก็คือ
จะเริ่มต้นลงทุนยังไง ?
ถ้าเชื่อในคำว่า เริ่มต้นดีมีชัยไปกว่าครึ่ง ก็ต้องโฟกัสกับวิธีเริ่มต้น
ในฐานะที่ผ่านร้อนผ่านหนาวในการลงทุนหุ้นมาร่วม 20 ปี ก็พอจะแนะนำตามสเต็ปได้ดังนี้
10 ข้อ สำหรับมือใหม่เล่นหุ้น
1. มีทุนจำนวนหนึ่ง
2. หาความรู้
3. วางเป้าหมาย
4. เปิดพอร์ต หาโบรกฯคู่ใจ
5. เริ่มลงทุน
6. หาประสบการณ์
7. ทบทวน
8. หาวิธีการลงทุนที่ใช่
9. กำไรซ้ำๆ ทำพอร์ตให้โต
10. กระจายความเสี่ยง
มาลองเจาะรายละเอียดในแต่ละข้อกัน
1. มีทุนจำนวนหนึ่ง
ต้องมีเงินหลักล้านใช่หรือไม่ ถึงจะเริ่มต้นได้ ?
ตอบได้แบบเร็วๆ ว่าไม่จำเป็น
รู้หรือไม่ว่า มีเงินหลักหมื่นก็เปิดพอร์ตหุ้น และเริ่มลงทุนกันได้แล้ว
ก่อนอื่นต้องเข้าใจกันก่อนว่าลักษณะของพอร์ตหุ้นมีอยู่ 3 รูปแบบ
1. บัญชีเงินสด (Cash) คือบัญชีที่ต้องส่งหลักฐานการทำงาน+สเตทเมนต์ธนาคาร เพื่อขอวงเงิน
2. บัญชี Cash Balance คือเอาเงินไปไว้ที่โบรกฯล่วงหน้า ซื้อหุ้นได้ตามนั้น
3. บัญชี Credit Balance คือบัญชีที่ขอกู้เงินโบรกฯเพื่อนำมาซื้อหุ้น เสียดอกเบี้ย
โบรกเกอร์คือบริษัทที่เป็นคนกลางเชื่อมระหว่างนักลงทุนกับตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดทางเลือกให้เลือกเปิดพอร์ตทั้ง 3 ประเภท
โดยทั่วไป เมื่อเปิดพอร์ตเรียบร้อยไม่ว่าจะแบบ 1 หรือ 2 แม้จะไม่ได้ซื้อ-ขายหุ้น ก็จะไม่มีใครมาบังคับได้
การใช้เงินหลักหมื่นมาทดลองในการเริ่มต้นลงทุน จึงเป็นเรื่องที่เหมาะสมดีสำหรับมือใหม่ด้วยซ้ำ
ส่วนรายละเอียดของลักษณะพอร์ตทั้ง 3 ประเภท หาได้ตามเน็ตหรือถามจากโบรกฯคู่ใจที่จะบอกวิธีเลือกในบทถัดๆไป
2. หาความรู้
มีเงินอย่างเดียวไม่พอ ต้องรู้ด้วย
เงินน้อยๆ ถ้ามีความรู้เราสามารถปั้นเป็นเงินที่ใหญ่ขึ้นได้แน่
แต่ถ้ามีเงินเยอะๆ แต่ไม่มีความรู้ เป็นแนวโน้มที่เงินนั้นจะน้อยลง
การหาความรู้ด้านหุ้น ก็จะได้จากหนังสือเล่มนี้แหละ
และมากกว่านั้นก็ยังมีหนังสือและเว็บไซต์อีกมากมายที่ถ่ายทอดความรู้ด้านหุ้น อาทิ
เว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย : www.set.or.th
เว็บไซต์ TSI : http://www.set.or.th/education/th/education.html
เว็บไซต์ stock2morrow : www.stock2morrow.com
ฯลฯ
ถ้าคิดจะรวย อย่าหวังพึ่งแต่โชค ให้ได้อินกับการหาความรู้ด้านการลงทุน นี่ต่างหากที่เป็นเรื่องจำเป็น
3. วางเป้าหมาย
ควรมีเป้าหมายที่ท้าทาย และทำให้ได้
มีหลายคนบอกว่า เงินน้อยๆยากที่จะทำให้โตได้
แต่ในความเป็นจริงนั้น เงินน้อยๆด้วยซ้ำที่ทำกำไรเป็นเปอร์เซ็นต์ได้ง่ายกว่าคนที่เงินเยอะๆ
เช่นเงินหลักแสนจะสร้างกำไรเป็นหลักล้านจะง่ายกว่าคนมีเงินหลักล้านจะสร้างเป็นหลักสิบล้าน
หรือจะกล่าวว่าการเป็นเหาฉลามจะเคลื่อนไหวได้ง่ายกว่าการเป็นฉลามเองก็ไม่ผิดอะไรนัก
เพราะเมื่อไหร่ที่เป็นปลาฉลาม เมื่อแหวกว่ายที่ไปไหนคนก็เห็น แต่ถ้าเป็นเหาฉลามนั้น นอกจากเข้าง่าย ออกง่าย ยังไม่ต้องออกแรงขับเคลื่อนไปข้างหน้าอีกด้วย
เป็นเหา ได้เกาะไปด้วย
เพราะฉะนั้น จงวางเป้าหมายให้ท้าทาย
ตั้งเลยว่า เงินแสนที่ลงทุนไปต้องกลายเป็นเงินล้านภายในกี่ปี
และที่สำคัญคือ ให้เงินส่วนของการลงทุนนี้เป็นเงินเย็น อย่าไปแตะต้อง เงินในชีวิตประจำวันต้องแยกไปอีกส่วน
4. เปิดพอร์ต หาโบรกฯคู่ใจ
ไม่มีการเรียนรู้ใดที่ดีไปกว่าการลงสนามจริง
และถ้าไม่มีพอร์ตหุ้น ก็ไม่สามารถเริ่มต้นได้ เพราะฉะนั้นอย่ารอช้า มี 3 ข้อแรกเรียบร้อยก็ให้เปิดพอร์ตหุ้นเลย
5. เริ่มลงทุน
เมื่อไหร่ที่เริ่มซื้อ นั่นคือเริ่มเข้าใจหุ้นขึ้น
คงไม่มีนักว่ายน้ำที่เก่งโดยอ่านแต่ทฤษฏีในตำรา การลงทุนหุ้นก็เช่นกัน
6. หาประสบการณ์
เราจะไม่มีทางรู้ว่าจะทำท่ายากได้ขนาดไหนในการลงทุน จนกว่าจะได้ลองทุกท่า
ด้วยที่ว่าปัจจัยในการลงทุนให้มั่งคั่งมีมากมายหลายอย่าง ซึ่งอย่างหนึ่งที่สำคัญคือลักษณะเฉพาะของแต่ละคน
บางคนรับความเสี่ยงได้น้อย แต่บางคนสนุกและรู้สึกท้าทายเมื่อได้เสี่ยงมากๆ
มีเงื่อนไขของความสำเร็จด้วยซ้ำไปว่า ควรต้องใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีในช่วงเริ่มต้นของการลงทุนหุ้น
เพราะประสบการณ์นี่แหละคือปัจจัยสำคัญในการพิสูจน์ความมั่งคั่งแบบมั่นคงในระยะยาว
7. ทบทวน
ประสบการณ์จะช่วยสอนให้รู้ถึงความผิดพลาดและความสำเร็จ
อย่าทำความผิดพลาดซ้ำซาก แต่ให้นำบบทเรียนมาหาจุดผิดพลาด
การเริ่มลงทุนโดยดูผลลัพท์และโฟกัสกับการทบทวนการลงทุนที่ทำไป จะได้เห็นถึงปัญหาและการแก้ไขที่ถูกต้อง
8. หาวิธีการลงทุนที่ใช่
เราไม่สามารถก็อปปี้รูปแบบการลงทุนที่ประสบความสำเร็จจากใครได้
ทำได้แต่เพียง การศึกษาความสำเร็จจากคนอื่นเพื่อนำมาเป็นแนวทางในการเริ่มลงทุนได้
จริตหรือความชอบของมนุษย์ โดนออกแบบมาให้มีความแตกต่างล้านรูปแบบ
เพราะฉะนั้น จะมีวิธีการลงทุนที่ชอบที่สุดของแต่ละคน ที่ได้กำไรด้วยและได้มีความสุขไปด้วย
นี่อาจจะกล่าวได้ว่าคือการค้นพบที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนักลงทุน เมื่อค้นเจอตัวเอง และรูปแบบการลงทุนที่ใช่
ผมกล่าวซ้ำๆเสมอว่า เมื่อนักลงทุนค้นเจอแนวแล้ว นั่นถือว่าบรรลุ
ความสุขมา กำไรโต ที่เหลือคือเส้นทางการเดินทางที่แสนสนุก
9. กำไรซ้ำๆ ทำพอร์ตให้โต
ให้เข้าใจทฤษฏี Snow ball กำไรที่ได้มาทบกับต้น เมื่อมีประสบการณ์และค้นพบวิธีการลงทุนที่ใช่ ให้บริหารพอร์ตให้โตให้ได้ตามเป้าที่วางไว้
พอร์ตที่เติบโตนี่ต่างหากที่เป็นผลสำเร็จที่แท้จริง ไม่ใช่กำไรที่ได้มาในช่วงสั้นๆที่จะต้องโฟกัส
ไม่จำเป็นต้องโฆษณาว่ากำไรหุ้นจากตัวนั้นตัวนี้เท่าไหร่
แต่ถ้าจะอยากคุยจริงๆ ให้โชว์ว่า พอร์ตโตกี่เปอร์เซ็นต์หรือกี่เท่าตัวจากเงินทุนเริ่มต้น
10. กระจายความเสี่ยง
เลี่ยงไม่ได้ เมื่อเหาโตก็ต้องเลิกเกาะฉลาม
หรือถ้าจะเลือกเป็าเหาต่อก็ต้องกระจายจำนวนหุ้นให้มากขึ้น หรือเลือกเกาะฉลามหลายตัวขึ้นนั่นเอง
การกระจายความเสี่ยงถือเป็นหลักหนึ่งของการบริหารพอร์ตการลงทุนให้โตอย่างต่อเนื่องไม่ว่าขนาดจะใหญ่ขึ้นเท่าไหร่ก็ตาม
เรียนรู้ไปด้วย และลงมือไปด้วย สิ่งที่กลับมาคือทั้ง"ความรู้และประสบการณ์" ซึ่งสองสิ่งนี้แหละคือหัวใจของการลงทุนหุ้น