#แนวคิดด้านการลงทุน

ความเสี่ยงและโอกาสการลงทุนในภาวะ Trade War

โดย ดร. ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์
เผยแพร่:
215 views

ความเสี่ยงและโอกาสการลงทุนในภาวะ Trade War

ในขณะที่โลกการลงทุนกำลังหมกมุ่นกับภาวะอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มจะสูงขึ้น กระแส TTT ที่ย่อมาจาก Trump Trade และ Tariff ก็เข้ามาปั่นป่วนกลยุทธ์การลงทุนของพวกเรากันเป็นระยะๆ

เริ่มจากต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ก็ได้มีการปล่อยหมัดกีดกันทางการค้าบดบี้กันระหว่างจีนและสหรัฐฯ จนทำให้ตลาดหุ้นสะเทือนกันไปทั่วโลก ล่าสุดยังมีการทวีตสับขาหลอกของนายโดนัลด์ ทรัมป์ จนนักลงทุนหัวทิ่มกันถ้วนหน้า เนื่องจากเขาประกาศว่าเขากำลังร่วมมือกับผู้นำจีน สี จิ้นผิง เพื่อช่วยกู้ชะตาบริษัทเทคโนโลยี ZTE จะได้ไม่ทำให้คนจีนตกงานมากเกินไป  ทั้งๆ ที่ตนเคยตั้งมั่นว่าจะเอาผิดจีนให้ถึงที่สุด

คำถามคือความเสี่ยงจาก Trade War มีแค่ความผันผวนของราคาสินทรัพย์ชั่วคราวหรือไม่ และถ้ามันบานปลาย นักลงทุนควรจะเตรียมตัวอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสมัยที่ทุกทวีตเขยื้อนตลาดหุ้น

1. ผลกระทบต่อเศรษฐกิจจริงเริ่มมีแล้ว

ล่าสุดผู้นำเข้าถั่วเหลืองในจีนเริ่มยกเลิกออร์เดอร์จากสหรัฐฯ อเมริกาแล้ว ซึ่งยังดีที่การยกเลิกออร์เดอร์นี้จะยังไม่แพร่กระจายไปในวงกว้าง เพราะ 1. จีนบริโภคถั่วเหลืองมากเกินกว่าจะเลิกนำเข้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมดได้ 2.หน้าฤดูใบไม้ร่วงที่จะถึงนี้ส่วนมากจีนจะไม่นำเข้าจากอเมริกาใต้มากนัก แต่หากภาวะสงครามการค้ายืดเยื้อออกไป ก็เป็นไปได้ที่ผู้ส่งออกอเมริกันซึ่งเป็นฐานเสียงของทรัมป์จะอ่วม เนื่องจากจีนเป็นผู้นำเข้ารายใหญ่ กว่า 60 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออกถั่วเหลืองของอเมริกันทั้งหมด  

แน่นอนว่าหากสงครามนี้ยืดเยื้อออกไป ก็จะต้องมีการปรับตัวครั้งใหญ่ในหลายๆ ประเทศที่เป็นคู่ค้ากับทั้งสหรัฐฯ และจีนในแต่ละรายการที่ติดโผภาษีนำเข้า  จีนเองก็ได้ทำการเร่งอุดหนุนการผลิตถั่วเหลืองภายในประเทศ เผื่อว่าการนำเข้าจากอเมริกาใต้จะไม่พอ ส่วนบริษัทสหรัฐฯเองก็ต้องหาช่วงทางระบายถั่วเหลืองออกไปยังตลาดอื่นที่ไม่มีกำแพงภาษีสูงเท่าจีน เช่น ยุโรป เป็นต้น

เพราะฉะนัั้น ณ เวลานี้การ diversify portfolio ไปที่ small cap ที่ไม่มี exposure กับภาวะสงครามการค้าโลกมากเท่ากับ large cap ที่มี presence ทั่วโลก ก็เป็นหนึ่งในช่องทางการลดความเสี่ยงที่ไม่เลว ถึงแม้ว่ายังไงเราก็หนีไม่พ้นกับผลกระทบทางลบของมัน

2. Treasury bonds อาจไม่ใช่ safe haven ที่ดีนัก

มุมมองดั้งเดิมคือเอาเงินไปหลบไฟสงครามในสินทรัพย์ที่ความเสี่ยงต่ำ เช่น ตราสารหนี้รัฐบาลที่เครดิตดีๆ เช่น US treasuries  ผู้เขียนเองมองว่า US treasury bonds ที่มีอายุยาวๆ ไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีนัก ไม่ใช่ว่าเพราะมีโอกาสที่จีนจะทิ้งพันธบัตรเหล่านี้ แต่เพราะว่าเราอาจให้น้ำหนักเทรนด์สงครามการค้าโลกนี้มากเกินไป

ยังมีเทรนด์แมคโครอื่นๆ ที่อาจสำคัญกว่า นั่นก็คือทิศทางดอกเบี้ยและเงินเฟ้อในสหรัฐฯ

เนื่องจากราคาพันธบัตรจะแปรผกผันกับอัตราดอกเบี้ย เมื่อ Fed ปรับอัตราดอกเบี้ยกลางขึ้นสองสามครั้งในอนาคต (ถ้าเขาทำตามสัญญา) มันจะทำให้พันธบัตรเก่าๆ ที่เคยออกไว้ตอนอัตราดอกเบี้ยต่ำๆ สูญเสียมูลค่าและไม่เป็นที่ต้องการเท่าเดิน จึงเป็นแรงกดดันให้ราคามันต่ำลง  

ดังนั้นการหวังว่าจะหนีความเสี่ยงสงครามการค้าโดยการไปแอบอยู่หลังพันธบัตรระยะยาวจึงไม่ได้เป็นความคิดที่ดีเสมอไป เพราะมันจะไปเจอกับความเสี่ยงที่ดอกเบี้ยและเงินเฟ้อขาขึ้น หากจะแบ่งเงินไปลงพันธบัตรจริงๆ แบ่งไปลงระยะสั้นอาจดีกว่า เพราะบอกตามตรงพวกเราก็คงคิดถึงอัตราดอกเบี้ยที่เกิน 2% โดยไร้ความเสี่ยงไม่ใช่น้อย

3. ยังพอมีโอกาสไหมในภาวะนี้

แน่นอนว่าไม่มีใครเป็นผู้ชนะในสงครามการค้า แต่อาจมีโอกาสท่ามกลางวิกฤตนี้  พูดง่ายๆ ก็คือทุกคนแพ้เมื่อมีสงครามการค้า แต่แพ้ไม่เท่ากัน

หนึ่งคือประเทศแต่ละประเทศมี exposure ไม่เท่ากัน นอกจากการดูว่าประเทศไหนส่งออกเป็นสัดส่วนสูงของ GDP แล้ว เรายังควรไปดูด้วยว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งใน supply chain ของประเทศคู่กรณีแค่ไหน  กราฟด้านบนจาก The Economist แสดงให้เราเห็นว่ากี่เปอร์เซ็นต์ของ GDP ประเทศ ที่ไปอยู่ใน value-added ของสินค้าที่จีนส่งออกไปให้สหรัฐฯ จะสังเกตได้ว่าไต้หวันรับความเสี่ยงค่อนข้างสูง ไทยเราเองก็ใช่ย่อย ดังนั้นหากการส่งออกจีนถูกกระทบ แม้จะไม่กี่เปอร์เซ็นต์ มันก็กระเทือน GDP เราได้เหมือนกัน

สองคือดูจังหวะว่าประเทศไหนอาจได้รับอานิสงส์ดีๆ จากการที่จีนและสหรัฐฯ อาจต้องปรับแหล่งนำเข้าและส่งออกในแต่ละรายการที่ติดโผภาษีนำเข้า ยกตัวอย่างเช่นอาร์เจนตินาหรือบราซิลที่อาจขายถั่วเหลืองได้มากขึ้น  แต่ในบางกรณีอย่างเครื่องบิน อาจเป็นไปได้ยากที่จีนอยู่ดีๆ จะหันหนี Boeing ไปซื้อ Airbus ได้ง่ายๆ เนื่องจากทั้งสองบริษัทนี้มี back log เป็นสิบปี

สามคือประเทศที่อาจเป็นแหล่งผลิตใหม่ของ multinationals ของสหรัฐฯ เนื่องจากบางบริษัทเห็นว่านโยบายกีดกันการค้าของสหรัฐฯ เองทำให้ผลิตภัณฑ์ของเขาราคาแย่ลง จึงจำเป็นต้องย้ายมาผลิตในประเทศอื่น คล้ายกับสมัยที่สหรัฐฯ ก็รบสงครามคล้ายๆ กันนี้กับมหาอำนาจญี่ปุ่น ไทยเราจึงได้รับผลพลอยได้จากการที่ญี่ปุ่นย้ายฐานมาผลิตรถยนต์ที่เมืองไทย  เรื่องราวคล้ายๆ กันนี้อาจเกิดขึ้นคราวนี้เหมือนกัน อย่างที่บริษัท มอเตอร์ไซค์ Harley ประกาศจะย้ายมาผลิตเมืองไทยเมื่อเร็วๆ นี้


ผู้เขียนเป็นเจ้าของเว็บไซต์ settakid.com ที่วิเคราะห์ประเด็นเปลี่ยนโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์แบบเข้าใจง่ายๆ  คุณ ณภัทร จบปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลและจอนส์ ฮอปกินส์ เคยมีประสบการณ์ทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดและธนาคารโลก และสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์อยู่ที่มหาวิทยาลัยมินนิโซต้า เป็นนักเขียนรับเชิญของ stock2morrow และเป็นคอลัมนิสต์ประจำสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง