แอบคิดหนักอยู่ว่า จะแชร์มุมมองนี้ดีหรือไม่ ในภาวะที่นักลงทุนกำลังมันส์และหวังให้ SET ทะลุสร้าง All Time High ผมแอบมองต่าง ต้องเข้าใจกันก่อน ว่าตลาดหุ้นเรียกได้ว่าเป็นศูนย์กลางของระบบทุนนิยม และเมื่อมองเข้าไปที่แก่นมันทำงานด้วยกลไกเดียว คือ คนที่มีเงินเยอะที่สุดมีบทบาทสูงสุด ถ้ามีเงินเยอะพอ จุดที่ซื้อหุ้นคือแนวรับ และจุดที่ขายหุ้นคือแนวต้านได้เลย ต่อให้หุ้นพื้นฐานไม่ดีถ้าซื้อมากพอหุ้นก็เป็นขาขึ้นได้ มันคือ "เกมการเงิน" เงินเยอะมากพอในที่นี้ไม่ได้หมายถึงจากนักลงทุนรายใหญ่ หรือแม้กระทั่งกองทุนฯ แต่หมายถึง ความเห็นพ้องต้องกันของกลุ่มคนที่มีเงิน เงินก้อนนี้ชี้ขึ้นชี้ลงตลาดหุ้นได้สบายๆ และผมว่าเราต้องให้น้ำหนักกับวิธีคิดของเงินก้อนนี้ด้วย
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่านักลงทุนใช้บรรทัดฐานอะไรให้การให้มูลค่ากิจการ จะเป็นขนาดสินทรัพย์ หรือว่ายอดขาย? เกือบทั้งหมดมันจะจบที่ "กำไร" กิจการนี้สร้างกำไรได้เท่าไร ยอดขาย 500 ล้าน ฟังดูดี แต่เหลือกำไร 5 ล้าน อาจดูไม่ค่อยดีเท่าไรแล้ว ดังนั้นกำไรคือกุญแจที่สำคัญที่สุดในการดูมูลค่ากิจการ จะลึกขึ้นไปอีกก็ต้องอย่างที่ ดร. นิเวศน์ ท่านเคยเกริ่นไว้คือดูคุณภาพของกำไรด้วย
เราจะซื้อกิจการสักแห่ง กำไรปีละ 12 ล้าน ถ้าเสนอซื้อ 12 ล้าน เขาคงไม่ขาย จะขายทำไม ปีเดียวก็ได้แล้ว แต่พอเจ้าของตั้ง 240 ล้าน ก็คงไม่มีใครซื้อ คำนวณหยาบๆ ซื้อไปแล้ว 20 ปีคืนทุนก็ไม่ไหว สุดท้ายแล้วผู้ซื้อก็ต้องมาชั่งใจว่า กิจการคืนทุนเขาได้ในกี่ปีที่เขารับได้ สมมุติว่าใน 8 ปี ราคาเสนอซื้อจะเท่ากับ 12 ล้าน x 8 ปี = 96 ล้าน ตกลงกันได้ นั่นก็คือราคาที่ผู้ซื้อพอใจ การดูราคากิจการว่าเป็นกี่เท่าของกำไรจึงเป็นบรรทัดฐานหลักในการดูมูลค่าหุ้น ที่เรารู้จักกันในชื่อ P/E Multiples ราคา 96 ล้าน จะเท่ากับ 8 เท่า P/E
ถ้ากิจการมีแนวโน้มว่ากำไรจะเติบโตไปได้สวย แน่นอนผู้ซื้ออาจต้องยอมซื้อที่แพงขึ้น สมมุติว่าที่ 10 เท่า P/E แต่ความเป็นจริงคืออาจคืนทุนได้เร็วกว่า 10 ปี หุ้นแพงซื้อได้แต่มองแล้วกำไรโต
ถ้ามันคุยกันแค่ระหว่างผู้ซื้อ-ผู้ขาย กิจการจะราคาเท่าไรหรือที่กี่เท่าของกำไร มันน่าจะขึ้นอยู่กับการเจรจา แต่ถ้าเป็นกิจการที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แล้วละ มันควรจะเป็นกี่เท่าของกำไรดี ถ้าเราอยากซื้อที่ 8 เท่า P/E เพราะรู้สึกว่ามันถูกที่ระดับนั้น แต่ราคามันลงมาแค่ 11 เท่า P/E และขึ้นเลย จะปล่อยผ่านหรือยอมซื้อที่แพงขึ้น? ผมว่ามันน่าคิดนะ
และนี่คือประเด็นที่ Technical Analysis เข้ามามีประโยชน์ เราฟังตามๆ กันว่า Technical คือการดูราคาหุ้น และ Volume และพูดแค่นั้น จริงๆ เล่นได้มากกว่านั้นเยอะครับ ถ้ามีข้อมูลย้อนหลังเราสามารถนำมาใช้วิเคราะห์ในเชิงสถิติได้หมด รวมถึง P/E ของหุ้น
Chart P/E หุ้นคือกระจกที่สะท้อนบอกว่าที่ระดับไหนนักลงทุน "เห็นพ้องต้องกัน" ว่าราคาถูกแล้ว และเข้าซื้อหุ้น ผลคือหุ้นจะทำจุดต่ำสุดที่ระดับนั้น หรือเห็นพ้องต้องกันว่าราคาแพงแล้ว ผลคือขายหุ้นและหุ้นก็จะทำจุดสูงสุดที่ระดับนั้น ยิ่งถ้ากำไรมีความสม่ำเสมอ (กำไรมีคุณภาพ) ระดับ P/E ถูก-แพงก็ยิ่งชัดเจน ข้อมูลย้อนหลังกว่า 12 ปี (2003-2015) บอกว่า:-
- SET P/E เฉลี่ยที่ระดับ 11 เท่า ถือว่าถูก
- SET P/E เฉลี่ยที่ระดับ 19 เท่า ถือว่าแพง
และยกเว้นปี 2009 ที่ SET P/E ไล่ขึ้นไปถึง 25 เท่า แบบนี้ต้องอ่านเกิน Chart ละ และสันนิษฐานได้ว่านักลงทุนคาดว่ากำไรของกิจการใน SET จะเติบโตอย่างมีนัยยะ ถึงกล้าซื้อแพง แต่เฉลี่ยยังไม่เคยเทรดเกิน 19 เท่าอย่างมีนัยยะ
ประเด็นมันอยู่ตรงนี้ครับ ที่ผ่านมา SET เป็นขาขึ้นเรื่องนี้ชัดเจนไม่เถียง แต่อดตั้งข้อสังเกตและอดระแวงไม่ได้ว่าถ้า SET ที่ระดับ 1,600 จุด เทรดกันที่ 19 เท่า P/E กัน แล้วมันจะไปได้ไกลอีกแค่ไหน ถ้านักลงทุนคาดหวังว่ากำไรจะโตก็จะยอมซื้อที่ P/E สูงได้ ถูกต้อง ยิ่งต้องดูรอบตัวเลยว่าเศรษฐกิจตอนนี้เป็นยังไง GDP, อัตราเงินเฟ้อ, ภาคการส่งออกเป็นอย่างไร เงินอัดฉีดจากภาพรัฐมีแน่ แต่จะมีผลมากพอให้ SET ขึ้นไปยาวๆ รึเปล่า เงิน QE จากญี่ปุ่นและยุโรปมีแน่ แต่นักลงทุนยังไงก็ต้องดูอยู่ดีว่า SET มี Upside ให้หวังมากน้อยแค่ไหน ซื้อที่ 19 เท่า P/E แล้วจะขายไปที่กี่เท่า?
หุ้นเป็นขาขึ้นชัด แต่ SET แพงแล้ว กำไรข้างหน้าดูไม่ดี แต่มี QE อาการขัดแย้งแบบนี้มันเสี่ยงเกินที่จะไปฟันธง ไม่ได้หมายความว่าเทรดไม่ได้นะครับ เทรดได้ ผมก็ยังมีของเกือบเต็มมือ แต่ต้องระวังให้มากกว่าปกติ ต่อให้หุ้นขึ้นก็ไม่ชัวร์ว่าจะยืนได้หรือไม่ อย่าเพิ่งไปวาดฝันที่ 1,800 จุด หุ้นไม่น่าจะขึ้นได้ชิลๆ เหมือนปี 2014 แน่นอน การคัดหุ้นสำคัญมาก และรู้ว่าเมื่อกลุ่มคนที่มีเงินเห็นพ้องต้องกันว่าจะขายหุ้น เราต้องเด็ดขาดมากพอที่จะจบด้วย
ถ้าผมเห็นต่างอย่างไร ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ และขอให้ประสบความสำเร็จในการลงทุนกันถ้วนหน้าทุกคนครับ