ราคาพาร์ในทางทฤษฏีแล้ว คือราคาที่คนเริ่มต้นธุรกิจไปจดทะเบียนกับภาครัฐว่ามีทุนเท่าไร และจะแบ่งหุ้นออกเป็นกี่หุ้น พูดง่ายๆคือเป็นตัวบ่งบอกขนาดความใหญ่ของตัวหุ้นนั้นเอง
การแตกพาร์ โดยปกติแล้วหุ้นที่มีพาร์ 100 บาท อาจจะแตกพาร์เหลือ 10 บาท หรือ 1 บาท ก็ได้ตามแต่ใจเจ้าของกิจการ แต่เมื่อแตกแล้วจะส่งผลให้มีจำนวนหุ้นสามัญที่มากขึ้น
ตัวอย่างเช่น หุ้น PTT มีพาร์ 10 บาท ราคาตลาดอยู่ที่ 500 บาท จำนวนหุ้นสามัญ 1,000 หุ้น
ถ้าหุ้น PTT แตกพาร์เหลือ 1 บาท ราคาตลาดจะเหลือ 50 บาท และจำนวนหุ้นสามัญจะเพิ่มเป็น 10,000 หุ้น เป็นต้น
พูดง่ายๆคือทำหุ้นให้เล็กลง ราคาหุ้นลดลง แต่จำนวนหุ้นสามัญเพิ่มขึ้น
ล่าสุดหุ้น KTC นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบมจ.บัตรกรุงไทย (KTC ) เปิดเผยว่า มติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อ 14 พฤษภาคม 2561 เห็นชอบให้มีการเปลี่ยนแปลงราคามูลค่าหุ้นที่ตราไว้ (พาร์) ของเคทีซีจากเดิม 10 บาท เป็นมูลค่าหุ้นละ 1 บาท ขอมติผู้ถือหุ้น 6 ก.ค.นี้
บัตรกรุงไทย KTC ทำธุรกิจอะไรบ้าง ?
ธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจบัตรเครดิต ธุรกิจสินเชื่อบุคคล (Personal Loan) ธุรกิจบริการรับชำระค่าสาธารณูปโภค ผู้ให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทบัญชี ค(3) การให้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอุปกรณ์อย่างหนึ่งอย่างใดผ่านทางเครือข่าย
BDMS เป็นตัวอย่างของหุ้นแตกพาร์จาก 1 บาท เป็น 0.1 บาท ส่งผลให้ราคาหุ้นจาก 180 บาท เหลือ 18 บาท
แล้วการแตกพาร์ ดีอย่างไร ทำไมต้องแตก อยู่แบบเดิมอย่างนี้ก็ดีอยู่แล้ว ?
ถ้าในทางทฤษฏีแล้วก็ต้องบอกว่า "ใช่!" แต่ในมุมมองของผู้บริหารแล้ว นอกจากจะบริหารธุรกิจ จำเป็นจะต้องบริหาร "ตัวหุ้น" ด้วย (ไม่ได้พูดถึงราคาหุ้น) การแตกพาร์จะเป็นการเพิ่มสภาพคล่องให้กับตัวหุ้น ซื้อ-ขายกันคล่องมากขึ้น
ส่งผลเชิงในเชิงจิตวิทยา นักลงทุนจะรู้สึกว่าราคาหุ้นถูกลง สามารถใช้เงินซื้อหุ้นได้มากขึ้น ตัวอย่างเช่นหุ้น PTT ที่ราคา 500 บาท จะซื้อขั้นต่ำ 100 หุ้นต้องใช้เงิน 50,000 บาท แต่พอหลังจากแตกพาร์ ราคาหุ้น PTT จะเหลือ 50 บาท ถ้าเรามีเงิน 50,000 บาท เราจะซื้อได้จำนวนหุ้นมากขึ้นนั้นเอง
อย่างไรก็ตาม การแตกพาร์เป็นเรื่องของจิตวิทยาล้วนๆ และไม่ได้มีผลอะไรเลยในด้านปัจจัยพื้นฐาน หรือ การเพิ่มมูลค่าของหุ้น มูลค่าของหุ้นยังเท่าเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ผลตอบแทนจากเงินปันผลก็เช่นเดียวกัน จากเมื่อก่อนพาร์ 10 บาท อาจจะได้ปันผล 12 บาท แต่ถ้าแตกพาร์มาเหลือ 1 บาท จะได้ปันผล 1.2 บาทต่อหุ้นครับ
สำหรับนักลงทุนระยะยาวแล้ว ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากนัก เพราะมูลค่าหุ้นยังเท่าเดิม ปันผลเท่าเดิมแต่ได้จำนวนหุ้นที่มากขึ้น แต่สำหรับนักเก็งกำไรระยะสั้นแล้ว อาจจะมีการเก็งกำไรตามจังหวะตลาด บ้างครับ
เขียนโดย SiTh LoRd PaCk/ Freedom VI