สถานการณ์โลกกลับเข้าสู่สภาวะตึงเครียดหมิ่นเหม่ต่อการเกิดสงครามอีกครั้ง หลังจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มหาอำนาจชาติตะวันตกนำโดยพี่ใหญ่สหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส เปิดฉากโจมตีทางอากาศถล่มซีเรียด้วยขีปนาวุธกว่า 100 ลูก หลังจากอ้างว่าประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาดของซีเรียใช้อาวุธเคมีในการสังหารพลเมืองตนเอง การปฏิบัติการดังกล่าวสร้างความไม่พอใจต่อรัสเซียซึ่งถือเป็นพันธมิตรหลักของซีเรีย โดยประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินประกาศพร้อมจะตอบโต้หากทางชาติตะวันตกยังไม่ยอมหยุดปฏิบัติการดังกล่าว
แน่นอนว่า จากเหตุการณ์ความไม่สงบดังกล่าวส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดทุน แล้วเราควรจะเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างไร? มาลองดูกันเลยครับ
คุณ Shane Oliver ซึ่งเป็น Chief Economist ของทาง AMP Capital เคยได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบของสงครามต่อตลาดทุนสหรัฐไว้ โดยวิเคราะห์ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่สำคัญต่างๆ ตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา สรุปได้ดังตาราง โดยมีข้อสังเกตว่า
เหตุการณ์
|
% การตกลงของดัชนี | 6 เดือนหลังผ่านจุดต่ำสุด | 1 ปีหลังผ่านจุดต่ำสุด |
World War II | -34 % | +25 % | +54 % |
Korean War | -8 % | +29 % | +31 % |
Cuban missile crisis | -7 % | +30 % | +36 % |
Iraq war I | -11 % | +21 % | +34 % |
Iraq war II | -14 % | +27 % | +38 % |
ดัชนีหุ้นจะตกในช่วงแรกของเหตุการณ์ด้วยความไม่แน่นอนในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น ระยะเวลากว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย รวมถึง ความเสียหายเชิงเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ดัชนีจะทำจุดต่ำสุดก่อนที่จะฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็วก่อนที่วิกฤตจะเริ่มคลี่คลายตัวเสียอีก โดยจากตารางจะพบว่า 6 เดือนหลังจากจุดต่ำสุด ดัชนีล้วน recover กลับมาอย่างชัดเจน
ประเด็นที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นคือ
1. สงครามคือวิกฤต แต่ไม่มีใครรู้ชัดหรอกว่าวิกฤติครั้งนี้ จะส่งผลให้ดัชนีร่วงลงมากน้อยขนาดไหน อาจจะดิ่งลงไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์ หรือไม่ตกเลยก็ได้ (ช่วงแรกของ Iraq II ดัชนีหุ้นไม่ตกเลย) และ
2. วิกฤตคือโอกาส ดังจะเห็นว่า 6 เดือนหรือ 1 ปีหลังจากนั้น ดัชนี rebound กลับมาอย่างแข็งแกร่ง
ย้อนกลับมาที่เหตุการณ์ความตึงเครียด ณ ปัจจุบัน ถามว่าเราควรมีการเตรียมความพร้อมอย่างไร สิ่งที่ควรทำอย่างแรกเลยก็คือ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินผลกระทบที่น่าจะเกิดขึ้นทั้งกับตลาดในภาพรวม และกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะถูกกระทบหลัก (เช่น กลุ่มพลังงาน เป็นต้น) พร้อมลดสัดส่วนหุ้นให้ไม่มากจนเกินไป โดยอาจโยกไปอยู่ในรูปของเงินสด พันธบัตร หรือทองคำ
แล้วสมมุติว่าสงครามเกิดขึ้นจริง และตลาดดิ่งลงมาอย่างรุนแรงกว่าที่ควรจะเป็น สำหรับนักลงทุนที่พร้อมรับความเสี่ยง นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเข้าเก็บหุ้นที่พื้นฐานดี และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับวิกฤตินั้นๆ
ทั้งนี้ทั้งนั้น นักลงทุนต้องรู้ขีดจำกัดด้านความเสี่ยงของตนเองที่สามารถรับได้ มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน รวมถึง มีวินัยในการปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด
โชคดีในการลงทุนครับ
Reference:
http://www.ampcapital.com.au/article-detail?alias=/olivers-insights/august-2017/the-threat-of-war