#ข่าวหุ้นธุรกิจการลงทุน

การลงทุนในช่วงวิกฤติสงคราม !

โดย ผศ.ดร. ศุภวัฒน์  สุภัควงศ์
เผยแพร่:
240 views

สถานการณ์โลกกลับเข้าสู่สภาวะตึงเครียดหมิ่นเหม่ต่อการเกิดสงครามอีกครั้ง หลังจากช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา มหาอำนาจชาติตะวันตกนำโดยพี่ใหญ่สหรัฐฯ อังกฤษ และฝรั่งเศส เปิดฉากโจมตีทางอากาศถล่มซีเรียด้วยขีปนาวุธกว่า 100 ลูก หลังจากอ้างว่าประธานาธิบดีบาชาร์ อัล อัสซาดของซีเรียใช้อาวุธเคมีในการสังหารพลเมืองตนเอง การปฏิบัติการดังกล่าวสร้างความไม่พอใจต่อรัสเซียซึ่งถือเป็นพันธมิตรหลักของซีเรีย โดยประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูตินประกาศพร้อมจะตอบโต้หากทางชาติตะวันตกยังไม่ยอมหยุดปฏิบัติการดังกล่าว

แน่นอนว่า จากเหตุการณ์ความไม่สงบดังกล่าวส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดทุน แล้วเราควรจะเตรียมพร้อมรับมือกับความไม่แน่นอนที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างไร? มาลองดูกันเลยครับ

คุณ Shane Oliver ซึ่งเป็น Chief Economist ของทาง AMP Capital เคยได้ทำการวิเคราะห์ผลกระทบของสงครามต่อตลาดทุนสหรัฐไว้ โดยวิเคราะห์ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์ที่สำคัญต่างๆ ตั้งแต่ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมา สรุปได้ดังตาราง โดยมีข้อสังเกตว่า

 

เหตุการณ์

 

 

% การตกลงของดัชนี 6 เดือนหลังผ่านจุดต่ำสุด 1 ปีหลังผ่านจุดต่ำสุด
World War II -34 % +25 % +54 %
Korean War -8 % +29 % +31 %
Cuban missile crisis -7 % +30 % +36 %
Iraq war I -11 % +21 % +34 %
Iraq war II -14 % +27 % +38 %

 

ดัชนีหุ้นจะตกในช่วงแรกของเหตุการณ์ด้วยความไม่แน่นอนในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นขอบเขตความรุนแรงที่จะเกิดขึ้น ระยะเวลากว่าเหตุการณ์จะคลี่คลาย รวมถึง ความเสียหายเชิงเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม ดัชนีจะทำจุดต่ำสุดก่อนที่จะฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็วก่อนที่วิกฤตจะเริ่มคลี่คลายตัวเสียอีก โดยจากตารางจะพบว่า 6 เดือนหลังจากจุดต่ำสุด ดัชนีล้วน recover กลับมาอย่างชัดเจน

ประเด็นที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นคือ

                1. สงครามคือวิกฤต แต่ไม่มีใครรู้ชัดหรอกว่าวิกฤติครั้งนี้ จะส่งผลให้ดัชนีร่วงลงมากน้อยขนาดไหน อาจจะดิ่งลงไปหลายสิบเปอร์เซ็นต์ หรือไม่ตกเลยก็ได้ (ช่วงแรกของ Iraq II ดัชนีหุ้นไม่ตกเลย) และ

                2. วิกฤตคือโอกาส ดังจะเห็นว่า 6 เดือนหรือ 1 ปีหลังจากนั้น ดัชนี rebound กลับมาอย่างแข็งแกร่ง

ย้อนกลับมาที่เหตุการณ์ความตึงเครียด ณ ปัจจุบัน ถามว่าเราควรมีการเตรียมความพร้อมอย่างไร  สิ่งที่ควรทำอย่างแรกเลยก็คือ ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประเมินผลกระทบที่น่าจะเกิดขึ้นทั้งกับตลาดในภาพรวม และกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะถูกกระทบหลัก (เช่น กลุ่มพลังงาน เป็นต้น) พร้อมลดสัดส่วนหุ้นให้ไม่มากจนเกินไป โดยอาจโยกไปอยู่ในรูปของเงินสด พันธบัตร หรือทองคำ

แล้วสมมุติว่าสงครามเกิดขึ้นจริง และตลาดดิ่งลงมาอย่างรุนแรงกว่าที่ควรจะเป็น สำหรับนักลงทุนที่พร้อมรับความเสี่ยง นี่อาจเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเข้าเก็บหุ้นที่พื้นฐานดี และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงกับวิกฤตินั้นๆ

ทั้งนี้ทั้งนั้น นักลงทุนต้องรู้ขีดจำกัดด้านความเสี่ยงของตนเองที่สามารถรับได้ มีแผนการลงทุนที่ชัดเจน รวมถึง มีวินัยในการปฏิบัติตามกฎอย่างเคร่งครัด

โชคดีในการลงทุนครับ

Reference:

http://www.ampcapital.com.au/article-detail?alias=/olivers-insights/august-2017/the-threat-of-war


ผศ. ดร.ศุภวัฒน์  สุภัควงศ์ (อาจารย์ Nine) - อดีตนักเรียนทุนรัฐบาล ศึกษาระดับปริญญาตรี-โท ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และปริญญาเอกที่ Imperial College London ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและคอมพิวเตอร์  คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์  อาจารย์เน้นงานวิจัยด้านการประมวลผลสัญญาณ time-series ประเภทต่างๆ หนึ่งในนั้นคือ การศึกษาพฤติกรรมการเปลี่ยนแปลงของราคาหลักทรัพย์  มีความสนใจและเป็นนักพัฒนา algorithms ต่างๆ ในแนวทางการลงทุนแบบ algorithmic and systematic trading

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง