วิธีเลือกหุ้นลงทุนในช่วงการประกาศผลประกอบการ
เข้าสู่ช่วงเดือนไตรมาสแรกของการลงทุนในปี 2018 หลายๆ คนคงมีคำถามว่าปีนี้จะลงทุนอะไรดี หุ้นกลุ่มไหนจะมา แต่อย่างไรก็ตามอยากขอพาทุกคน back to basic ก่อน คือ การเลือกหุ้นที่จะลงทุน ซึ่งวิธีการเลือกหุ้นที่ได้รับความนิยมมากแบบหนึ่งคือ การเลือกหุ้นจากผลประกอบการ
ใน 1 ปีจะมีการประกาศผลการดำเนินงานออกมา 4 ครั้ง โดยเป็นผลประกอบการรายไตรมาสและผลประกอบการตลอดทั้งปี
ผลประกอบการไตรมาส 1 จะเริ่มประกาศตั้งแต่ช่วงเดือนเมษายนถึงกลางเดือนพฤษภาคม
ผลประกอบการไตรมาส 2 จะเริ่มประกาศตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฎาคมถึงกลางเดือนสิงหาคม
ผลประกอบการไตรมาส 3 จะเริ่มประกาศตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคมถึงกลางเดือนพฤศจิกายน
ผลประกอบการไตรมาส 4 รวมถึงผลประกอบการรายปี จะเริ่มประกาศตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์
งบการเงินหรือผลประกอบการเป็นสิ่งแสดงผลการดำเนินงาน บอกถึงฐานะทางการเงินของบริษัท เสมือนหนึ่งนักเรียนที่ต้องมีสมุดพก โดยทั่วไปตามทฤษฎีคนเรามักจะซื้อหุ้นดี ดังนั้นเมื่อสิ้นรอบบัญชี บริษัทก็จะรายงานผลประกอบการในรอบนั้นๆให้กับนักลงทุนทราบ ส่วนราคาหุ้นจะได้รับผลกระทบอย่างไรไม่สามารถบอกได้ขึ้นอยู่กับความคาดหวังที่นักลงทุนต้องการ
จากการที่ลงทุนเป็นเรื่องของการซื้ออนาคตของกิจการนักลงทุนไม่ได้สนใจในเรื่องของมูลค่าในปัจจุบันมากนัก แต่หากซื้อแล้วอนาคตราคาหุ้นขึ้น ย่อมพอใจมากกว่า ดังนั้นการที่บริษัทสร้างข่าวลือ หรือข่าวจริงปะปนกันไป เพื่อทำให้ราคาหุ้นเคลื่อนไหนมากขึ้น นักเก็งกำไรจะเข้ามามีส่วนร่วมในขั้นตอนนี้ตามที่นักวิเคราะห์หลายๆคนได้เข้ามาคาดการณ์ผลประกอบการและราคาเป้าหมาย ซึ่งการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่นั้นมาจาก การไป company visit กับบริษัท หลายต่อหลายครั้งที่มีการดึงราคาขึ้นไปก่อนที่งบการเงินจะออกเมื่องบออกราคาจึงซื้อขายกันอยู่ที่บริเวณเดิม
แต่หากงบการเงินออกมาแย่กว่าที่คาดการณ์ไว้จะทำให้ราคาตกกลับลงมาซึ่งบางครั้งมากกว่าที่ราคาได้วิ่งขึ้นไปด้วยซ้ำ จากการสังเกตุพบว่า การคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ กับผลประกอบการที่ประกาศออกมามักมีความคาดเคลื่อนกันอยู่ประมาณ 20%
นักลงทุนสามารถคาดการณ์ผลประกอบการเองได้ แล้วค่อยนำไปเปรียบเทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ได้ โดยให้พิจารณาไตรมาสที่มีข้อมูลอยู่กับไตรมาสก่อนหน้านั้น และ เทียบกับไตรมาสเดียวกันเมื่อไปก่อนหน้า จะพอคาดการณ์ผลประกอบการในไตรมาสนี้ได้แม่นยำมากขึ้น แต่หากบริษัทมีกำไรพิเศษ เช่น จากการขายสินทรัพย์อย่างใดอย่างหนึ่งของกิจการจึงค่อยนำมารวมเพิ่มเข้าไป
เมื่อหุ้นที่นักลงทุนถือไว้ทำระดับราคาที่สูงขึ้นเนื่องจากมีการคาดการณืว่าผลประกอบการจะดีขึ้นมาก นักลงทุนสามารถลดความเสี่ยงโดยการตัดสินใจขายหุ้นนั้นออกไปก่อน เพราะหากผลการดำเนินงานเป็นไปตามคาดการณ์จริง ราคาก็คงไม่ขึ้นไปสูงกว่านั้นมากนัก แต่หากราคาไม่เป็นไปตามคาดการณ์ ราคาหุ้นจะลดลงได้มากกว่าตอนที่ขึ้นไปได้มาก และหากงบการเงินของบริษัทใดที่ดีขึ้นมากแต่เราไม่ได้ถือหุ้นตัวนั้นไว้ เข้าเข้าไปดูรายละเอียดว่าหุ้นตัวนั้นขึ้นเพราะอะไรและมีแนวโน้มอย่างไรในอนาคต
หากงบการเงินดีขึ้นเนื่องจากการปฏิบัติงานที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น รายได้มากขึ้น กำไรมากขึ้น แต่หากผลประกอบการดีขึ้นจากกำไรพิเศษ กำไรที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว หรือ กำไรที่เกิดจากโชค เช่น กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน กำไรจากการขายสินทรัพย์ กำไรจากการปรับโครงสร้างหนี้ จะไม่นำมาพิจารณาเลือกหุ้นตัวนั้นเข้ามาในพอร์ต
ยกตัวอย่าง จุดสังเกตงบการเงิน หุ้นกลุ่มสื่อสาร เป็นธุรกิจที่ใช้งบลงทุนสูงมาก (Capex: Capital Expenditure) ในช่วงระหว่างการลงทุนหรือขยายโครงข่ายแต่ละปี Capex จะแปลงร่างเป็นค่าเสื่อมราคา ทยอยตัดเป็นต้นทุนบริการ ซึ่งจะลดทอนกำไรสุทธิลงทุกปี ๆ ในระหว่างนั้นกำไรสุทธิจะโดนค่าเสื่อมสะสมกดดัน ทยอยตัดค่าเสื่อมจนหมด แล้วหลังจากนั้นบริษัทจะเข้าสู่ช่วงเก๋บเกี่ยว (Harvest) เนื่องจากต้นทุนลดลง แล้วกำไรเพิ่มขึ้น ราคาหุ้นมีโอกาสเติบโตได้อีก
- Vira & Freedom Vi-