ในการซื้อขายหุ้น หรือสินค้าอื่น ก็ตามให้สามารถทำกำไรได้ จำเป็นต้องมีความรู้ ทักษะความชำนาญ และประสบการณ์ที่ผ่านความกดดันของตลาดที่เหวี่ยงไปมา จนลับคมในการตัดสินใจของเราให้มีความเด็ดขาด และวางกลยุทธ์การเทรด ได้อย่างเหมาะสมกับสภาพของสินค้า และสภาพตลาด
การเทรดให้ทำกำไรได้ มีหลากหลายลักษณะมาก ทั้งการทำกำไรในช่วงที่ราคามีทิศทางชัดเจน และที่ราคามีการแกว่งตัวขึ้นลงในกรอบ แต่แบบที่จะรับมือง่ายที่สุด ก็จะเป็นการเทรดในทิศทางขาขึ้น ซึ่งองค์ประกอบที่สำคัญในการเทรดให้ได้กำไร ก็คือ
- ความรู้ และประสบการณ์ในการเทรดจริง
- การเลือกหุ้น หรือสินค้าที่มีความคุ้มค่าในการเข้าเทรด
- การวางแผนการเทรด และการเทรดตามแผน
- การจัดการเงินทุน และการควบคุมความเสี่ยง
- การบันทึก และวิเคราะห์ทบทวนการเทรด
หากขาดองค์ประกอบใดไป ก็จะทำให้ไม่สามารถสร้างผลกำไรจากการลงทุนในระยะยาวได้แต่ละองค์ประกอบมีอะไรบ้าง ลองมาไล่เรียงกันดู
- ความรู้ และประสบการณ์ในการเทรดจริง
การลงทุนในความรู้ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่นักลงทุนทุกคนควรทำ ในปัจจุบันความรู้มีมากมายในสื่อออนไลน์ หรือหลักสูตรอบรมต่างๆ ที่เปิดสอนกันเต็มไปหมด นักลงทุนควรเลือกศึกษาจากผู้ที่รู้จริง ที่มีประสบการณ์ และประสบความสำเร็จทั้งในการลงทุนเอง และสอนให้คนอื่นสำเร็จได้ด้วย
ลำพังรูปแบบในการลงทุนก็มีหลายแนวทาง การหาความรู้ก็ควรจะเลือกมุ่งเน้นไปในแนวทางที่เราสนใจ อย่าเอาแค่ได้ยินว่าคนไหนเก่ง ที่ไหนสอนดี ก็ตามไปเรียนกับเขาทุกที่ จนมั่วไปหมด สุดท้ายความรู้ตีกัน ผสมผสานด้วยกันไม่ได้ ดังนั้นคนที่ต้องการหาแนวทางการลงทุนของตนเองให้พบ ก็อาจจะต้องใช้เวลาลองผิดลองรู้ด้วยตนเองสักพัก หรือหาโค้ชการลงทุน มาช่วยให้คำแนะนำ ค้นหาแนวทางการลงทุนของเราให้พบเร็วขึ้น
เมื่อเริ่มเรียนรู้สินค้าที่เราจะเทรด ไม่ว่าจะเป็นหุ้น,Future, Option หรือ DW แต่ละอย่างก็จะมีรายละเอียดแตกต่างกันไป วิธีการเทรดที่ต่างกัน การใช้ปัจจัยพื้นฐาน และกราฟเทคนิคมาช่วยในการวิเคราะห์ตัดสินใจ ก็มีรายละเอียดที่ต้องเรียนรู้ และฝึกฝนอย่างมีวินัย จนเข้าใจใช้งานได้จริง ในช่วงฝึกฝนเริ่มต้นจากเงินลงทุนน้อยๆ เพราะยังขาดความชำนาญ มีโอกาสผิดพลาดได้ง่าย เลี่ยงความเสียหายได้ยาก เงินลงทุนสำหรับฝึกฝน แนะนำว่าไม่ควรเกิน 20-25% ของเงินทั้งหมดที่จะลงทุน แต่ถ้าเงินลงทุนมีไม่มากพอที่จะเริ่มฝึกฝน ให้ไปฝึกเทรดด้วย demo trade หรือ Click2Win ไปก่อนจะดีกว่า
- การเลือกหุ้น หรือสินค้าที่มีความคุ้มค่าในการเข้าเทรด
การเลือกสินค้าในการเทรด ก็เป็นอีกปัจจัย ที่ต้องให้ความสำคัญ การเทรดหุ้น ถือว่ามีความเสี่ยงระดับปานกลาง ส่วน Future, Option หรือ DW มีความเสี่ยงค่อนข้างสูง ดังนั้นถ้าเทรดหุ้นแล้วยังเสียมากกว่าได้กำไร ก็อย่าเพิ่งไปลองสินค้าอื่น ที่สำคัญสินค้าแต่ละตัวก็มีลักษณะเฉพาะที่ต้องให้ความสำคัญ และระมัดระวังในการเทรดอีกด้วย ถ้าคิดว่าเทรดหุ้น ได้กำไร แล้วจะเอาวิธีการเดิมไปใช้กับ Future หรือ DW ก็ไม่แน่ว่าจะทำกำไรได้
ไลฟ์สไตล์ของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน บางคนทำงานประจำ บางคนเป็นเจ้าของกิจการ บางคนมีเวลาทั้งวัน ดังนั้นเวลาที่มีให้กับการติดตามราคาให้ระหว่างที่ตลาดเปิด ก็ไม่เท่ากัน คนที่มีภาระหน้าที่ ไม่สามารถติดตามราคาได้ตลอด ก็อาจจะต้องเลือกหุ้นเน้นถือระยะกลางถึงยาว ดูกราฟ Time Frame Week หรือ Day เห็นหลัก เลือกหุ้นที่ปัจจัยพื้นฐานดี มีโอกาสเติบโตได้ ซื้อแล้วถือไปได้หลายสัปดาห์ หลายเดือน ถึงจะได้ผลตอบแทนที่คุ้มค่าคุ้มเวลาในการลงทุน
ส่วนคนที่มีเวลา สามารถติดตามราคาได้ในบางช่วงของตลาด หรือตลอดเวลา ก็จะมีทางเลือกที่มากกว่า จะเลือกเทรดระยะกลางระยะยาว แบบคนที่ไม่มีเวลาก็ได้ หรือเทรดทำกำไรระยะสั้น 3-10 วัน ก็ทำกำไรแล้วก็ได้ แต่ก็ไม่ได้บอกว่าเทรดระยะสั้นดีกว่า เพราะว่าการเทรดบ่อยครั้ง ก็มีความเสี่ยงที่จะเสียหายขาดทุนได้มากกว่า แต่การเทรดก็เหมือนเราเล่นกีฬา ที่ต้องมีการฝึกซ้อมให้มากพอที่จะเกิดความชำนาญ และฝึกซ้อมอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้ฝีมือยังคงที่
การเทรดที่ทำกำไรที่ดี จึงควรมีทั้งแบบระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว เราก็ต้องมีการแบ่งเงินลงทุนออกเป็นส่วน ซึ่งจะอธิบายเพิ่มเติมในหัวข้อถัดไป แต่การเลือกหุ้นที่จะเทรดให้คุ้มค่าในแต่ละครั้ง มี 2 อย่างที่เราต้องให้ความสนใจ
อย่างแรก คือ กำไรที่คาดหวัง (Expected Profit) หุ้นที่เราจะซื้อ ต้องรู้ว่าจะซื้อที่ราคาไหน และคาดหวังกำไรที่ราคาเท่าไหร่ หรือมองเป้าราคาไว้เท่าไหร่นั่นเอง ซึ่งจะใช้กราฟเทคนิคมาจับจังหวะซื้อ วางเป้าขาย หรือหาราคาเป้าหมายบทวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานมาช่วยก็ได้
อีกอย่าง คือ ขาดทุนที่ยอมรับได้ (Accepted Loss) ตรงนี้หลายคนเข้าใจผิดคิดว่าหมายถึง ราคาที่จะขายทิ้ง หรือสตอปลอส (Stop Loss) ในความเป็นจริงเราต้องมองไปที่จำนวนเงินที่เราจะยอมขาดทุนได้ต่างหาก เช่น ยอมขาดทุนได้ 5,000 บาท หรือ 10,000 บาท หรือ 50,000 บาท เป็นต้น ซึ่งจะมากหรือน้อย จะขึ้นอยู่กับเงินต้นที่ใช้ในการลงทุน ไม่ใช่เงินที่จะใช้ซื้อหุ้นในรอบนั้น
ยกตัวอย่างให้เข้าใจ เช่น เราคิดว่าใช้เงินลงทุนในหุ้นที่เราจะเข้าซื้อ 500,000 บาท เราต้องคิดแล้วว่าซื้อหุ้นนี้ ยอมขาดทุนได้เท่าไหร่ เช่นยอมขาดทุน ได้ 20,000 บาท คิดเป็น 4% ของเงินต้น 500,000 บาท โดยปกติจะมือใหม่ควรเริ่มต้นที่ 2%ของเงินต้น พอเริ่มเก่งขึ้นก็ไม่ควรเกิน 5% ของเงินต้น
เราจะต้องประเมินความคุ้มค่าในการเทรดทุกครั้ง ด้วยการหา Reward-to-Risk Ratio (RRR) คือ RRR = Expected Profit ÷ Accepted Loss
ซึ่งการเทรดที่มีความคุ้มค่า ควรจะมี RRR ≥ 3 เท่าขึ้นไป เช่น คาดหวังกำไร 30,000 บาทต่อความเสี่ยงขาดทุน 10,000 บาท RRR ยิ่งมากยิ่งดี
แนะนำว่า ให้คำนวณ RRR ในหุ้นทุกตัวที่สนใจ ไว้ทั้งหมด จะช่วยทำให้เราสามารถให้ความสำคัญกันให้แต่ละตัวที่เราสนใจได้ ตัวไหนที่ RRR สูง ก็จะได้วางสัดส่วนเงินลงทุนไว้มากหน่อย ตัวไหน RRR น้อยก็อาจจะใช้เงินลงทุนไม่มาก หรือ ไม่เทรดเลยก็ได้ ถ้าไม่มี RRR กำกับไว้ สิ่งที่เกิดขึ้นคือ หุ้นตัวไหนขยับวิ่งก่อนเราก็จะไปซื้อตัวนั้นเยอะ ส่วนตัวอื่นวิ่งที่หลังก็ซื้อด้วยเงินที่ยังเหลือ ทำให้เราเน้นเงินไม่ถูกตัว กำไรที่ได้ก็อาจจะไม่คุ้ม หรือกลายเป็นได้กำไรหุ้นที่ใส่เงินน้อย แต่ไปโดนขาดทุนในหุ้นที่ซื้อจัดหนัก
ตอนต่อไป เราจะไปเจาะลึกเรื่องการวางแผนการเทรด และการเทรดตามแผน, การจัดการเงินทุน และการควบคุมความเสี่ยง, การบันทึก และวิเคราะห์ทบทวนการเทรด
#WaveRiders
หลักสูตร "Hybrid Investor ดูงบได้ ใช้กราฟเป็น"
แนวการลงทุน มีหลากหลาย จะเน้นคุณค่า, เน้นปันผล, เก็งกำไร, เล่นรอบ, มีมากมาย..
นำเสนออีกแนวทาง ที่ผสมผสานระหว่างการเลือกหุ้นด้วยผลประกอบการ และจับจังหวะเทรดด้วยกราฟ..
ดูรายละเอียดหลักสูตร สมัครได้ที่..http://bit.ly/2rb3CTI