KTC OPPORTUNITY DAY PERFORMANCE 2017 - 2018
หลังจากการที่แบงค์ชาติมีการปรับเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคล ทำให้บริษัทบัตรเครดิตส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบ และ KTC ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทใหญ่ที่ให้บริการสินเชื่อและบัตรเครดิต
ล่าสุดราคาหุ้น KTC อยู่ที่ 240 บาท (07/03/2018) ราคาหุ้นพุ่งเกือบ 200% ภายใน 2 ปี (ราคาปิดที่ 81 บาท ณ 07/03/2016) หรือ ใครซื้อหุ้น KTC ตั้งแต่ 10 ปีก่อน ที่ราคา 10 บาท จนมาถึงราคา 240 บาท คิดเป็น 2400% ถือว่าคุ้นค่ากับการรอคอย ?
วันนี้จึงขอพาเพื่อนๆ นักลงทุนทุกท่านมาอัพเดตผลการดำเนินงานของ KTC ในปีที่ผ่านมาและกลยุทธ์การเติบโตปีนี้กัน
KTC ทำธูรกิจอะไร ?
ธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ประกอบธุรกิจบัตรเครดิต ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับธุรกิจบัตรเครดิต ธุรกิจสินเชื่อบุคคล (Personal Loan) ธุรกิจบริการรับชำระค่าสาธารณูปโภค ผู้ให้บริการการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ ประเภทบัญชี ค(3) การให้บริการชำระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ผ่านอุปกรณ์อย่างหนึ่งอย่างใดผ่านทางเครือข่าย และประเภทบัญชี ค(5) การให้บริการรับชำระเงินแทน
ในปีที่ผ่านมาแบงค์ชาติมีการปรับเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อซึ่งทำให้บริษัทสินเชื่อและบัตรเครดิตหลายบริษัทได้รับผลกระทบสำหรับ KTC ได้รับผลกระทบน้อยกว่าที่คาดไว้ โดยเฉพาะ loan growth ของ Personal loan ที่โตขึ้นเหนือความคาดหมาย ทำให้รายได้ดอกเบี้ยดีขึ้น ขณะที่ NPL ลดลง และ cost of fund อยู่ในเกณฑ์ที่ดีมาก จากการที่บริษัทสามารถขายหุ้นกู้ระยะยาวดอกเบี้ยต่ำได้มาก
ในภาพรวมปีที่ผ่านมา
Portfolio growth 7%
Net profit growth 32.5% YOY (กำไร 3,304 ล้านบาท)
Account receivable เป็นกลุ่ม credit card 66% และกลุ่ม Personal loan 34%
Credit card
การใช้จ่ายเพื่อการบริโภคผ่านบัตรเครดิตยังคงเติบโตต่อเนื่องแต่มีแนวโน้มช้าลงเรื่อยๆ ในปี2017 การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตคิดเป็น 20.8% ของการบริโภคโดยรวม นอกจากนั้นเป็นการใช้จ่ายในโหมดอื่น เช่น เช็ค. เงินสด, Fund transfer โดย KTC มีความพยายามที่จะ replace ในส่วนของเงินสดให้ได้มากที่สุด
ในปัจจุบันในส่วนของ credit card KTC มี market share อยู่ที่ 10.7% ซึ่งโตขึ้นจากเดิมไม่มาก เนื่องจากภาพรวมอุตสาหกรรมโตน้อยลงมาก
Personal loan
ในปัจจุบันในส่วนของ Personal loan KTC มี market share อยู่ที่ 6.7% จำนวน account growth ที่ 4.3% Portfolio โตที่ 12.7% ขณะที่ industry โตเพียง 6.4% ส่วน NPL ลดลงจากเดิมที่ต่ำอยู่แล้ว เหลือ 0.76%
Balance sheet Highlight 2017
Asset size 73,000 ล้านบาท
D/E 4.85 เท่า ขณะที่ governance 10 เท่า
Rating A+ by TRIS
Cost of fund 3.1%
Total revenue growth 11%
Bad debt 19%
กลยุทธ์การเติบโตปี 2018
Credit card
เป้าหมายผู้ถือบัตร KTC growth 15% ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่ท้าทายสำหรับบริษัท เน้นการทำ promotion ที่สอดคล้องกับ life style กับกลุ่มลูกค้า premium โดยเฉพาะกลุ่มผู้ถือบัตร KTC VISA INFINITE และจับกลุ่มลูกค้า Hi-end เช่น มีอัตราแลกเปลี่ยนที่ถูกกว่าคู่แข่ง เนื่องจากลูกค้ากลุ่มนี้มักมีการใช้จ่ายในต่างประเทศ สามารถทำกรมธรรม์การเดินทางผ่านบัตร
ขยายฐาน co-brand
ร่วมมือกับ บริษัท Sport revolution ผู้นำเข้าอุปกรณ์กีฬาจากต่างประเทศ และ โรงพยาบาลเวชธานี ในการปรับปรุงสิทธิประโยชน์ของบัตร
Promotion
Dinning บริษัทได้ทำ promotion ร่วมกับ chain ร้านอาหารขนาดใหญ่ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศ และกลุ่มบุฟเฟ่ต์โรงแรม ปัจจุบันบริษัทได้รับการยอมรับมากขึ้น ทำให้มีร้านอาหารเข้ามาขอร่วม promotion กับบัตรเป็นจำนวนมาก โดยกลุ่ม promotion กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ลูกค้าชื่นชอบ และมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ เนื่องจากใช้คะแนนน้อยแลกได้
Shopping บริษัทได้เข้าไปทำ promotion กับห้างสรรพสินค้า ร้านค้าต่างๆมากขึ้น promotion ที่ดึงดูดลูกค้าได้มาก เช่น การผ่อนชำระ, ใช้คะแนนแลกส่วนลด และ cash back
Travel ถือเป็นจุดแข็งของ บัตร KTC มาโดยตลอด และบริษัทยังคงจะยึดพื้นที่ส่วนนี้ต่อไป
Personal loan
ได้มีการออก 2 promotion สำคัญ
สำหรับลูกค้าใหม่ – promotion เบิกถอน 2 รอบบัญชี จ่ายเพียง 1 รอบบัญชี
สำหรับลูกค้าเก่า – promotion เคลียร์หนี้เกลี้ยง season 8 โดยมีลักษณะเป็น Lucky draw
ในภาพรวมการเติบโตที่เห็นได้ชัดส่วนใหญ่จะมาจากธุรกิจให้บริการบัตรเครดิตเป็นหลัก เนื่องจากมีการแข่งขันในตลาดบัตรเครดิตมากขึ้นและ KTC สามารถลดต้นทุนการทำการตลาดได้ดีมาก โดยเน้นการตลาดผ่านดิจิตอลมากขึ้นโดยมีการส่ง Promotion ผ่านแอพพลิเคชัน Line เป็นช่องทางหลัก ซึ่งมีประสิทธิภาพมาก ในส่วนของธุรกิจสินเชื่อ บริษัทสามารถโตได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยมาก ในปี2018 บริษัทได้ออกเคมเปญ เบิกถอน 2 รอบบัญชี จ่ายเพียง 1 รอบบัญชี ซึ่งทางบริษัทเชื่อว่าจะสามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้ารายใหม่ๆได้มากขึ้น
- Vira & Freedom VI-
หมายเหตุ : ข้อมูลที่นำมาใช้ อ้างอิง วันที่ 15.2.2018 จากเว็บไซต์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และไม่ได้มีเจตนาชี้นำการลงทุนใดๆ