#แนวคิดด้านการลงทุน

Future of Money (ตอนที่ 5): ประหยัดเงินแบบอัตโนมัติ

โดย ดร. ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์
เผยแพร่:
169 views

Future of Money (ตอนที่ 5): ประหยัดเงินแบบอัตโนมัติ

ในยุคที่รีเทลเลอร์เริ่มมีความสามารถในการ “คั้น” กำไรออกมาจากกระเป๋าสตางค์พวกเราได้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นการล่ายิงโฆษณาใส่เราอย่างแยบยลหรือการทำ price discrimination (ตั้งราคาตามความยินยอมในการจ่ายของเรา) คำถามคือผู้บริโภคอย่างเราๆ จะต้องทำอย่างไรถึงจะยังปกป้องเงินในกระเป๋าสตางค์เอาไว้ได้บ้างโดยไม่ลดการบริโภค ทำไมดูเหมือนว่ายิ่งเวลาผ่านไปยิ่งประหยัดเงินยากขึ้นทุกวัน?

 

ถ้าไม่ลดการบริโภคลง วิธีประหยัดเงินแบบดั้งเดิมคือการทำตัว “ขี้เหนียวกว่าปกติ” ไม่ว่าจะเป็นการตัดคูปอง จุดด้อยหลักๆ เลยคือวิธีพวกนี้มักใช้เวลานาน กลายเป็นว่าเราต้องมีต้นทุนทางเวลาที่ต่ำจริงๆ หรือมีความจำเป็นจริงๆ ถึงจะคุ้มทำสิ่งเหล่านี้เพื่อลดราคาสินค้า

แต่ในอนาคต ผมคิดว่าเทคโนโลยีจะมาช่วยทำให้เราประหยัดเงินได้อย่างสะดวกขึ้น  บทความนี้จะพาท่านผู้อ่านไปสำรวจ 3 เทรนด์ที่จะเข้ามาช่วยทำให้เราใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดและประหยัดเงินมากขึ้นโดยไม่ต้องเสียเวลามากครับ

ติดตามอ่านตอนแรกของซีรี่ส์นี้ที่ : https://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=1363

ตอนที่สองที่ : https://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=1369

และตอนที่สามที่ : https://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=1388

และตอนที่สี่ที่ :https://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=1408

คูปองโค้ดทั้งเน็ต จงมา!

พอกันทีกับการถามเพื่อน ตาม IG ตาม FB เพื่อหวังว่าจะเจอคูปองโค้ดไว้ช๊อปออนไลน์  เพราะถึงคุณหามาได้ 1 คูปอง ก็ใช่ว่ามันจะเป็นคูปองที่ลดราคาได้มากที่สุด หรือ มั่นใจได้ว่ามันใช้กับ cart ของคุณได้จริงๆ (และยังไม่หมดอายุ)

Honey (https://www.joinhoney.com/) เป็นบริการล่าคูปองโค้ดทั่วอินเตอร์เน็ต เพียงติดตั้งกับบราวเซอร์ของคุณ ก่อนจะ check out เมื่อคลิ๊กปุ่ม honey คูปองโค้ดที่เกี่ยวข้องทั้งอินเตอร์เน็ตจะถูกเอามาลอง apply กับ cart ของคุณจนกระทั่ง honey พบคูปองที่ให้ส่วนลดคุณได้มากที่สุด  นอกจากนั้นยังมีการให้เราเก็บ honey gold rewards ที่มีลักษณะเหมือนแคชแบ็คเอาไปแลกเป็นบัตรของขวัญสำหรับร้านค้ากว่า 3 พันร้านค้าอีกด้วย  ตั้งแต่เปิดให้บริการมา honey ช่วยประหยัดเงินลูกค้าไปได้กว่า 170 ล้านดอลลาร์แล้ว

 

บางคนอาจสงสัยว่าแล้วร้านค้าได้อะไร ทำไมถึงจะอยากร่วมมือกับ honey  เหตุผลแรกคือร้านค้าได้ขายของกับลูกค้ากลุ่มที่อ่อนไหวต่อราคา (price sensitive) ซึ่งเป็นกลุ่มที่หากไม่ลดราคาก็ขายไม่ได้ เป็น lost opportunity  หากยอมขายที่ราคาต่ำกว่าหน่อย แม้จะไม่ได้ขายที่ราคาเต็ม ก็ยังสามารถดูดยอดขายมาจากกลุ่มนี้ได้บ้าง เหตุผลที่สองคือร้านค้าจะมีโอกาสมัดใจผู้บริโภคที่มีพฤติกรรม optimizing ประเภทที่ต้องมั่นใจว่าตนได้ดีลที่ดีที่สุดบนอินเตอร์เน็ตแล้วถึงจะซื้อ หรือประเภทที่รับไม่ได้ถ้าทราบว่ามีคนอื่นที่อาจซื้อสินค้านี้ไปได้ด้วยราคาต่ำกว่าตน  ดังนั้นในมุมนี้ honey ก็ยังให้ value กับลูกค้าได้ถึงแม้ว่าจะค้นหาคูปองดีๆ ไม่เจอก็ตาม อย่างน้อยลูกค้าก็มั่นใจได้ว่าตนทำเต็มที่แล้วก่อนคลิ๊กปุ่มซื้อทุกครั้ง

 

เช็คราคาย้อนหลังและเทียบราคาทั้งเน็ต

ไม่มีใครชอบความรู้สึกที่ว่าเราไปซื้อของมาที่ราคา 100 บาทวันนี้ แต่ตอนเย็นเพื่อนบอกว่าเขาเคยซื้อมาแค่ 70 บาทเมื่อวันก่อน

เว็บไซต์ camelcamelcamel.com ทำการเช็คให้เราได้ว่าสินค้าที่เราสนใจเคยมีการขายไปที่ราคาเท่าไรบ้างในอดีต ยกตัวอย่างเช่น ลำโพง Bose Soundlink Mini II ด้านบน เราจะเห็นได้ว่าราคาแกว่งอยู่ที่ประมาณ 160 ถึงราวๆ 200 ดอลลาร์สหรัฐฯ ดังนั้นหลายคนอาจจะรู้สึกโอเคกับการซื้อที่ราคา 170 ดอลลาร์เนื่องจากห่างจากจุดต่ำสุดไม่มากนัก เป็นต้น

Camelcamelcamel เป็นเว็บไซต์ที่ทำได้ดีสำหรับสินค้าที่การเลือกซื้อไม่ซับซ้อนนัก หรือราคาไม่แกว่งมากทั่วอินเตอร์เน็ต เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์  แต่ Camelcamelcamel มักบอกอะไรไม่ได้มากสำหรับสินค้าที่มีการตั้งราคาใน range ที่กว้างมากๆ หรือมี option ในการเลือกฟีเจอร์มากๆ เช่น สินค้าจำพวกยา โรงแรม หรือคอนแท็ค เลนส์

จึงเป็นช่องทางให้เกิดเว็บไซต์ที่มี niche ในการเทียบราคาสำหรับสินค้าประเภทเดียวเท่านั้น เช่น trivago.com สำหรับเทียบราคาโรงแรมและห้องพัก หรือ contactsprice.com สำหรับเทียบราคาคอนแทคเลนส์  ห้องพักเดียวกัน คอนแทคเลนส์แบรนด์เดียวกันกล่องเดียวกัน มีได้หลายราคามากในอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์เหล่านี้จะช่วยเรียงให้เราเห็นว่าซื้อกับเว็บไซต์ไหนได้ราคาที่ถูกที่สุด

รับแคชแบ็คมากที่สุดโดยเหนื่อยน้อยที่สุด

การประหยัดเงินด้วยแคชแบ็คหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในความคิดผู้เขียน เนื่องจากมันเป็น “เงินฟรี” ถ้าคุณไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคและใช้บัตรเครดิตนี้เสมือนกับมันเป็นบัตรเดบิต  เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ แล้วมันจะรวมเป็นเงินก้อนใหญ่ได้อย่างไม่น่าเชื่อ ยกตัวอย่าง เช่น หากคุณมีบัตรเครดิตที่ให้แคชแบ็ค 2% สำหรับทุกการใช้จ่าย แล้วคุณใช้มันไป 5 แสนบาทปีนี้ ท้ายปีคุณจะได้แคชแบ็คถึง 1 หมื่นบาทเลยทีเดียว (ถ้าสมมุติว่าไม่ชนลิมิตแคชแบ็ค)

ปัญหาคือแคชแบ็คเป็นคอนเซ็ปต์ที่ไม่ค่อยเหมาะกับวิธีที่สมองมนุษย์ทำงานนัก มันเป็นการประหยัดเงินที่ได้ทีละน้อยนิด และดูไม่สำคัญถ้าเราไม่มองการณ์ไกล  ถ้าเรามองระยะสั้น บัตรแคชแบ็ค 1% จะแทบไม่มีค่าเลยสำหรับหนึ่งเดือนข้างหน้าของคุณ  แต่ถ้ามองให้ไกลขึ้น เป็นหนึ่งปีหรือสองปีจะพบว่ามันคุ้มมากถ้าเราเริ่มฝึกนิสัยใช้มันให้เป็นกิจวัตร

แม้ว่าบัตรเครดิตแต่ละใบจะมีเงื่อนไขที่ซับซ้อน อันนี้ใช้ซื้อน้ำมันดี อันนี้ดีแค่ที่ร้านสะดวกซื้อ อันนี้ได้ทุกที่แต่ได้น้อย  ในอนาคตอาจมีบริการอย่าง www.walla.by มากขึ้นที่มาช่วยให้เราเลือกใช้บัตรเดบิตและบัตรเครดิตได้ดีขึ้นโดยไม่เสียเวลา  เพียงคุณลิงก์บัตรที่คุณมีกับมันแล้วช้อปออนไลน์ตามปกติ wallaby จะช่วยเลือกให้ว่าคุณควรใช้บัตรใบไหนเพื่อให้ได้ rewards หรือ แคชแบ็คมากที่สุด นอกจากนั้นยังบอกด้วยว่ามีบัตรอื่นไหมที่ควรไปสมัครหรือควรไปช้อปที่ไหนมากกว่าสำหรับบัตรที่คุณมี

ที่น่าสนุกคือคุณอาจมีโอกาสเอาแคชแบ็คอีกรอบหลังคุณรูดบัตรได้อีกทีด้วย  วิธีนี้พวกคลั่งคูปองเขาเรียกกันว่าการ “stack”  ยกตัวอย่างเช่น ในสหรัฐฯ คุณสามารถขอแคชแบ็คคืนเงินทุกครั้งที่คุณซื้อสินค้าที่ยังก็ซื้ออยู่แล้ว เช่น น้ำดื่ม นม น้ำยาล้างจาน ขนม ฯลฯ ด้วย ibotta ซึ่งเป็นแอปลิเคชั่นที่ให้แคชแบ็คจากการสแกนใบเสร็จและบาร์โค้ดด้วยกล้องมือถือ ได้ทีละไม่มาก (ประมาณ 0.5 ถึง 1 ดอลลาร์สหรัฐฯ) แต่ท้ายปีรวมแล้วเอาไปออกบัตรของขวัญซื้ออะไรชิ้นใหญ่ๆ ได้เลยทีเดียวเพราะคนเราใช้เงินบริโภคสินค้าจำเป็นปีละไม่น้อย

ในอนาคตจะมีฟินเทคประเภทนี้ออกมาอีกเนื่องจากมันเป็นการสร้าง win-win situation กับทั้งลูกค้าและรีเทลเลอร์  ก็หวังว่าในเมืองไทยจะมีบริการแบบนี้มาให้เราใช้กันเร็วๆ นะครับ เพราะจากประสบการณ์ของผู้เขียนแล้ว การใช้บริการทั้งหมดนี้พร้อมๆ กันสามารถประหยัดเงินทั้งปีได้ไม่ต่ำกว่า 10% โดยแทบไม่เหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว


ผู้เขียนเป็นเจ้าของเว็บไซต์ settakid.com ที่วิเคราะห์ประเด็นเปลี่ยนโลกผ่านมุมมองเศรษฐศาสตร์แบบเข้าใจง่ายๆ  คุณ ณภัทร จบปริญญาตรีและโทจากมหาวิทยาลัยคอร์เนลและจอนส์ ฮอปกินส์ เคยมีประสบการณ์ทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยฮาวาร์ดและธนาคารโลก และสำเร็จการศึกษาปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์ประยุกต์อยู่ที่มหาวิทยาลัยมินนิโซต้า เป็นนักเขียนรับเชิญของ stock2morrow และเป็นคอลัมนิสต์ประจำสำนักข่าวออนไลน์ไทยพับลิก้า

Facebook

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง