#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

รู้จักหุ้น TNR ถุงยางสัญชาติไทย ดังไกลระดับโลก

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
2,179 views

ถ้าพูดถึงเรื่องถุงยางอนามัยแล้ว เรามักจะนึกถึงถุงยางอนามัย Durex ที่ครองใจวัยรุ่นไทยมาอย่างยาวนาน แต่มีน้อยคนนักที่รู้ว่าถุงยางของคนไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลกเหมือนกัน และที่สำคัญคนไทยเราสามารถเป็นเจ้าของบริษัทได้ผ่านการซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ผ่านชื่อย่อหลักทรัพย์ TNR หรือ บริษัท ไทยนิปปอนรับเบอร์อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน)

TNR ก่อตั้งขึ้นในปี 2536 โดยกลุ่มครอบครัวดารารัตนโรจน์ ด้วยเงินเริ่มต้น 30 ล้านบาท เพื่อรับจ้างผลิตถุงยางอนามัยตามความต้องการของลูกค้า (OEM) โดยมีกำลังการผลิตติดตั้งเริ่มต้นที่ 60 ล้านชิ้นต่อปี ที่โรงงานแหลมฉบัง ถือเป็นการ "ข้ามสายพันธุ์" ของกลุ่มธุรกิจเลยก็ว่าได้ เพราะครอบครัวดารารัตนโรจน์ เริ่มต้นธุรกิจในฐานะเจ้าของสื่อและสิ่งพิมพ์
 


ผลิตภัณฑ์ของ TNR ถุงยางอนามัยและเจลหล่อลื่น Onetouch
(ที่มา : รายงานประจำปี TNR ปี 2560)

ต่อมาในปี 2542 บริษัทเริ่มคิดสร้างแบรนด์เป็นของตัวเองโดยใช้ชื่อ Onetouch แต่อีกด้านหนึ่งก็ยังทำธุรกิจรับจ้างผลิตอยู่ต่อไป ในปี 2546 บริษัทเริ่มแตกไลน์ธุรกิจใหม่คือรับจ้างผลิตเจลหล่อลื่น ก่อนที่จะมาผลิตแบรนด์เป็นของตัวเองอย่างเป็นทางการในปี 2551 บริษัทเติบโตเรื่องมาและจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ในปี 2559 ด้วยราคา IPO 16 บาท ที่พาร์ 1 บาท
 

สรุปแล้วธุรกิจหลักของ TNR มี 3 ธุรกิจคือ
1. ธุรกิจผลิตถุงยางและเจลหล่อลื่น ภายใต้ชื่อ Onetouch 
2. ธุรกิจรับจ้างผลิตถุงยางและเจลหล่อลื่น (OEM) ให้กับองค์กรเอกชน รวมถึงภาครัฐ เช่น ถุงยางอนามัย PLAYBOY อีกทั้งยังเป็นผู้จัดจำหน่ายอีกด้วย
3. ธุรกิจประมูลงานกับองค์กรภาครัฐ และองค์กรเอกชน

 


สัดส่วนรายได้แยกตามประเทศ
(ที่มา : รายงานประจำปี TNR ปี 2560)

สัดส่วนรายได้ของธุรกิจ อันดับ 1 อยู่ที่ธุรกิจรับจ้างผลิตถุงยางและเจลหล่อลื่นคิดเป็นสัดส่วนรายได้ประมาณ 75% ธุรกิจผลิตถุงยางและเจล Onetouch คิดเป็น 7% และธุรกิจงานประมูลที่ 14% จะเห็นได้ว่าสัดส่วนหลักมาจากการรับจ้างผลิต ถ้าปีใดมีออเดอร์การผลิตที่น้อง สัดส่วนตรงนี้จะโดนกระทบและมีผลกระทบกับกำไรทั้งปีของบริษัท
 

โครงสร้างการถือหุ้นของบริษัท ... ประกอบไปด้วยบริษัทเจริญอักษร โฮลดิ้ง กรุ๊พ จำกัด ,THK INVESTMENT COMPANY LIMITED และกลุ่มครอบครัวดารารัตนโรจน์ ถ้าเราเจาะลึกลงไปอีกปรากฏว่าบริษัทเจริญอักษร โฮลดิ้ง กรุ๊พ จำกัด และTHK INVESTMENT COMPANY LIMITED ก็เป็นกลุ่มบริษัทของครอบครัวดารารัตนโรจน์ เช่นเดียวกัน
 

สภาวะการแข่งขันของอุตสาหกรรมค่อนข้างสูงมากเนื่องจากอุปทานที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง การแข่งขันกันผลิตของแต่ละบริษัท ทำให้แข่งขันกันสูงมากไม่ว่าจะเป็นเรื่องของยี่ห้อที่มากในตลาด ธุรกิจรับจ้างผลิต ธุรกิจงานประมูล ผู้บริโภคมีตัวเลือกที่หลากหลาย อีกทั้ง TNR ยังเป็นเบอร์ 2 ในอุตสาหกรรมระดับภูมิภาคเอเชีย
อย่างไรก็ตามธุรกิจประเภทนี้ไม่ใช่ธุรกิจที่จะเข้ามาได้ง่าย (High barrier to entry) เพราะต้องผ่านมาตรฐานหลายอย่าง ต้องมีใบอนุญาต ต้องมีการทดสอบผลิตภัณฑ์เป็นระยะเวลา 5 ปี ถึงจะสามารถออกใบรับรองผลิตภัณฑ์ได้ ต้องมีชื่อเสียงพอสมควร ลูกค้าถึงจะมีการว่าจ้างผลิต เป็นต้น

 


ส่วนแบ่งการตลาดถุงยางอนามัย
(ที่มา : marketingoops.com)

ปัจจุบันตลาดถุงยางอนามัยในไทยครองโดย 4 แบรนด์หลัก ซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากถึง 93.9% นำโดย Durex ซึ่งครองส่วนแบ่งทางการตลาดจำนวน 57.8% Onetouch จำนวน 20.6% Okamoto จำนวน 9.5% และ Playboy ซึ่งบริษัทเป็นผู้รับจ้างผลิตและเป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทยมีส่วนแบ่งทางการตลาด 6.1%
Cr.จากข้อมูลของ Nielsen ระหว่างเดือนกันยายน ปี 2557 ถึงเดือนสิงหาคม ปี 2558

 

กลับมาที่หุ้น TNR ... หลังจากการเข้าขายหุ้น IPO แล้ว ทางบริษัทก็มีแผนการขยายงานว่าจะเอาเงินไปทำอย่างไรบ้าง พร้อมกับราคาหุ้นตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่องพุ่งสู่ระดับราคาที่ 34 บาท แต่พอเข้าสู่ช่วงไตรมาส 1/60 ราคาหุ้นก็ไหลลงแตะระดับ 28 บาท พร้อมกับการประกาศผลประกอบการงบไตรมาส 1/60 กำไรทรุดถึง 93% บริษัทรายงานว่ามีค่าใช้จ่ายจากการขยายงาน กำไรขั้นต้นลดลง ปริมาณการผลิตน้อยลง 26% ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยสูงขึ้น และยังขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน
 

นั้นเป็นเพียงจุดเริ่มต้น รายได้ปี 60 ของ TNR ลดลงเหลือเพียง 950 ล้าน จากที่เคยทำได้มากถึง 1.2 พันล้านในปี 59 ในขณะที่กำไรสุทธิลดลงเหลือ 114 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิที่ลดลงจาก 15% เป็น 12% ส่งผลให้ราคาหุ้นไหลลงอย่างต่อเนื่องมาแตะระดับ 16 บาท เท่ากับราคา IPO
 

บริษัทมีหนี้สินที่ต่ำ สัดส่วนหนี้สินต่อทุนอยู่ที่ 0.29 เท่า ส่วนของผู้ถือหุ้นที่เพิ่มขึ้น ในปัจจุบัน TNR เทรดกันในระดับ P/E ที่ 33 เท่า และ P/BV ที่ 5 เท่า และเงินปันผลอยู่ที่ 0.3% ถือว่าเทรดกันในราคาพรีเมี่ยมพอสมควร ในขณะที่ความคาดหวังการเติบโตไม่ได้เป็นไปอย่างที่คิด
 

ดูผ่านๆแล้ว TNR เป็นหุ้นที่พื้นฐานดีผลิตสินค้าสำหรับคู่รักและครอบครัวที่จำเป็นต้องใช้เพื่อการวางแผนครอบครัว ดูเหมือนว่าครอบครัวจะเริ่มให้ความสนใจในการคุมกำเนิดมากขึ้น มีลูกน้อยลง ในขณะที่มีเพศสัมพันธ์มากขึ้น บริษัทมีหนี้สินต่ำ มี Net Margin แตะระดับ 12-15% ถือว่าไม่น้อยเลย และการเข้ามาของคู่แข่งหน้าใหม่ก็ไม่ใช่ง่ายเพราะต้องผ่านมาตรฐานหลายอย่าง ชื่อเสียงที่สะสมมาอย่างยาวนาน 
... แต่เนื่องจากสภาวะการแข่งขันสูง ผู้บริโภคมีตัวเลือกมากมายให้เลือกใช้ ที่สำคัญคือบริษัทยังไม่สามารถเร่งการเติบโตตามราคาหุ้นที่นักลงทุนคาดหวังได้ จากนี้ไปนักลงทุนจำเป็นจะต้องจับตากันต่อไปว่าบริษัทจะเพิ่มการเติบโตอย่างไรให้ทันกับค่า "ความคาดหวัง" P/E แตะระดับ 33 เท่า จะต้องจับตาดูกันต่อไปครับ ..

-------------------------

เขียนโดย SiTh LoRd PaCk

ขอบคุณแหล่งข้อมูล
https://www.set.or.th/set/factsheet.do?symbol=TNR&ssoPageId=3&language=th&country=TH

http://www.forbesthailand.com/entrepreneurs-detail.php?did=1508

https://positioningmag.com/31855

https://efinancethai.com/ipo/IpoCornerMain.aspx?name=ipo_tnr&postdate=2016-11-29

http://investor-th.tnrcondom.com/ar.html

https://www.efinancethai.com/HotStocks/HotStockMain.aspx?id=1604&file_name=hs_201705120918&symbol=HS


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง