จากบทความตอนแรก วอเรน บัฟเฟตต์ ที่ได้แถลงรายงานประจำปีที่เขาจะส่งไปถึงผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway https://www.stock2morrow.com/article-detail.php?id=1423 ไปแล้ว 6 ข้อ บทความนี้เราจะมาเรียนรู้ข้อคิดกันต่อ
7. ตลาดหุ้นพร้อมจะลงได้ทุกเมื่อ
ผมไม่ได้บอกว่าตลาดหุ้นจะลง แต่ผมอยากจะยกตัวอย่างตลอดการลงทุนของ 53 ปี ที่ผมสร้าง Berkshire ขึ้นมา ผ่านช่วงตลาดขาลงอย่างยาวนาน แต่ผมก็ตระหนักอยู่เสมอว่าการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และอัตราดอกเบี้ยทบต้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่จะสร้างความมั่งคั่งของคุณในระยะยาว
ปีแล้วปีเล่า เรานำพาบริษัทผ่านตลาดขาลงรอบใหญ่ ที่ผมเรียกว่า "การปรับฐานครั้งใหญ่ 4 รอบ" และมีผลกระทบกับพอร์ตหุ้นของ Berkshire มากพอสมควร อันได้แก่
การปรับฐานครั้งใหญ่ของตลาดหุ้นวอลสตรีท
(Credit ภาพ : Annual Report 2017 , Berkshire Hathaway)
เป็นอย่างไรบ้างครับ มันดูเหมือนง่ายที่เรามองดูตลาดขาลงในช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้ว แต่ในความเป็นจริง คือไม่มีใครมาบอกคุณหรอกว่าหุ้นจะหยุดลงจนถึงเมื่อไร สำหรับนักลงทุนอาจจะประสบปัญหาขาดทุนระยะสั้น แต่นั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาจะเกิดกับคนที่ชอบ "ยืมเงิน" มาลงทุนในหุ้นนี้สิ! คุณจะไม่มีวันทำผลงานได้ดีในตลาดหุ้น ถ้าคุณเป็นพวกชอบกู้เงินมาลงทุน ต่อให้คุณซื้อในจุดต่ำสุด เวลาคุณขาย คุณก็ไม่มีทางขายในช่วงเวลาที่งดงามได้อยู่ดี เพราะคุณจะถูกกดดันจากข่าว สื่อ ข่าวร้ายๆจากหน้าหนังสือพิมพ์ และปล่อยหุ้นออกไปด้วยกำไรที่นิดเดียว
อีก 53 ปีนับจากนี้ ผมเชื่อว่าเราจะต้องเจอการปรับฐานครั้งใหญ่แบบนี้อีกแน่นอน แต่ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเมื่อไร และก็ไม่มีใครรู้ ก็เหมือนกับแสงที่เปลี่ยนจากสีเขียวไปเป็นสีแดงในทันที มันไม่มีการหยุดเป็นสีเหลืองเพื่อเตรียมพร้อมเป็นสีแดง (The light can at any time go from green to red without pausing at yellow)
8. การลงทุนในกองทุนรวม
วอเร็น บัฟเฟตต์ ยังคงแนะนำให้ลงทุนในกองทุนรวมอิงดัชนีที่คิดค่าบริหารต่ำ
เขายังฝากข้อคิดอีกว่า "A willingness to look unimaginative for a sustained period – or even to look foolish – is also essential" การลงทุนที่เราคิดว่าดูไม่สมเหตุสมผล กลับมีประสิทธิภาพมากกว่า
9. ตราสารหนี้ มีความเสี่ยงสูงกว่าหุ้น
มีคนจำนวนมากเรียกตราสารหนี้ว่า "Risk-free" หรือไร้ความเสี่ยง
ในปี 2012 มีคนจำนวนมากนิยมลงทุนในตราสารหนี้ที่ให้ดอกเบี้ย 1%ต่อปี แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อเวลาผ่านไป เช่นในปี 2012 จนถึง 2017 เรากลับถูกอัตราเงินเฟ้อกัดกินไปจนสิ้น และคนที่ลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐแทบจะไม่ได้รางวัลของการลงทุนในสิ่งที่เรียกว่า "Risk-free" เลย
มันเป็นความผิดพลาดมากสำหรับคนที่เรียกตัวเองว่านักลงทุนระยะยาว แล้วเราต้องมาประเมินความเสี่ยงผ่าน"อัตราส่วน" พอร์ตโฟลิโอที่เหมาะสมระหว่างตราสารหนี้และหุ้นสามัญควรจะเป็นเท่าไรดี .. ประวัติศาสตร์บอกเราหลายครั้งแล้วว่า ตราสารหนี้ระยะยาวคือตัวเพิ่มความเสี่ยงให้กับพอร์ตโฟลิโอ (high-grade bonds in an investment portfolio increase its risk.)
10. หุ้นที่เปลี่ยนแปลงไปในพอร์ตโฟลิโอของ Berkshire
บัฟเฟตต์ เปิดเผยรายชื่อหุ้น 15 อันดับแรกที่เขาถือไว้มากที่สุด สิ้นปี 2017 พอร์ตโฟลิโอมีมูลค่าสูงถึง 25.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ
รายชื่อหุ้น 15 ตัวแรกที่บัฟเฟตต์ถือไว้เป็นจำนวนมาก
(Credit ภาพ : Annual Report 2017 , Berkshire Hathaway)
11. Performance comes, performance goes. Fees never falter
วอเร็น บัฟเฟตต์พูดถึงการลงทุนในกองทุนรวมหุ้น ...
มี "ผู้เชี่ยวชาญ" จำนวนมากถูกจ้างมาให้บริหารเงินผ่านกองทุนรวม ถ้าผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากเหล่านั้นถูกถามในช่วงปลายปี 2007 ว่าการลงทุนในหุ้นจะได้ผลตอบแทนกี่เปอร์เซนต์ พวกเขาเหล่านั้นก็จะตอบว่า ประมาณ 8.5% อ้างอิงกับดัชนี S&P 500 แต่มีน้อยคนนักที่ทำได้แบบนั้นจริงๆ
อย่างไรก็ตามนักลงทุนจำนวนมากก็ยังประสบปัญหากับ "ทศวรรษที่หายไป" อยู่ดี เหมือนกับคำกล่าวที่ว่า
"ผลตอบแทนที่ดีเข้ามา ผลตอบแทนที่ดีจากไปแล้ว แต่ค่าธรรมเนียมไม่เคยหลับใหล" (Performance comes, performance goes. Fees never falter)
-------------------------------
นี้ก็เป็นสาระสำคัญคร่าวๆของจดหมายผู้ถือหุ้นฉบับปี 2017 ครับ
เขียนและเรียบเรียงตามความเข้าใจโดย SiTh LoRd PaCk
อ้างอิงจาก
http://www.berkshirehathaway.com/2017ar/2017ar.pdf