#แนวคิดด้านการลงทุน

“สาสน์จากบัฟเฟตต์” - สรุปข้อคิด-เรียนรู้จาก จดหมายถึงผู้ถือหุ้น (ตอนที่ 1)

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
172 views

ปรมาจารย์ด้านการลงทุนหุ้นคุณค่าระดับโลก วอเรน บัฟเฟตต์ ใช้เนื้อที่บางส่วนของรายงานประจำปีที่เขาจะส่งไปถึงผู้ถือหุ้นของ Berkshire Hathaway กูรูการลงทุนวัย 87 ปีผู้นี้มักจะใช้จดหมายประจำปีของเขาที่เต็มไปด้วยมุขตลก ที่มีคนคอยติดตามอ่านทั่วโลก

1. ผลตอบแทนของหุ้น Berkshire Hathaway


บัฟเฟตต์บอกว่า มูลค่าทางบัญชีหุ้น Berkshire ทั้งคลาส A และ B เพิ่มขึ้นถึง 23% ทำให้มีกำไรสุทธิสูงถึง 65.3 พันล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงเวลา 53 ปี ราคาหุ้นวิ่งจาก 19 เหรียญมาแตะระดับ 2.11 แสนเหรียญ คิดเป็นผลตอบแทนทบต้นมากถึง 19.1% ต่อปีตลอดระยะเวลา 53 ปี

บัฟเฟตต์บอกว่าที่ขึ้นมาได้ขนาดนี้เป็นเพราะการออกฏหมายเกี่ยวกับเรื่องภาษีและการบันทึกตัวเลขทางบัญชีใหม่ซึ่งออกโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ .. บัฟเฟตต์กล่าวเสริมอีกว่า กำไรมากกว่า 90% ล้วนมาจากประเทศที่ชื่อว่าอเมริกา ถึงแม้เขาจะพลาด 10% ไป เขาก็ยังสร้างผลตอบแทนได้อย่างงดงามอยู่ดี (บัฟเฟตต์กล่าวเป็นนัยๆว่า ทำไมต้องดิ้นรนไปลงทุนต่างประเทศเพื่อเพิ่มผลตอบแทนอีก 10% มันไม่มีความจำเป็นเลย ลงทุนในอเมริกานี้แหละดีที่สุดแล้ว)

"กำไรที่ยังไม่ได้เกิดจากการขาย เราเรียกมันว่า unrealized gains เป็นกำไรที่ขึ้นๆลงๆ เราไม่เห็นด้วยที่นักลงทุนจะเน้นไปที่กำไรเพียงอย่างเดียว ถ้าตลาดหุ้นเกิดการปรับฐาน พอร์ตโฟลิโอของเราก็จะได้รับผลกระทบ การสร้างผลตอบแทนก็อาจจะไม่ดีนัก แต่นั้นเป็นเรื่องของระยะสั้น เรื่องระยะยาวคือ คุณภาพของหุ้นที่ทาง Berkshire เป็นผู้ถือต่างหาก" 

 

2. เวลาที่ดีที่สุดในการ "ขายหุ้น"


(That’s largely because we sell securities when that seems the intelligent thing to do, not because we are trying to influence earnings in any way)
เวลาที่ดีที่สุดในการขายหุ้น คือ เวลาที่เราคิดว่าฉลาดที่สุดในการขาย ไม่ใช่ขายเพราะเราเห็นกำไรที่ทำได้มากเกินไปแล้ว เราไม่ควรให้อิทธิพลของ "กำไร" มากดดันให้เราขายหุ้นทีดีทิ้งไป

 

3. การเข้าซื้อกิจการ (1)


กุญแจสำคัญ 4 ข้อที่เราจะซื้อหุ้น คือ 


1. ขนาดของกิจการที่ Berkshire จะเข้าไปซื้อหุ้น 
2. กิจการที่เราเข้าไปซื้อ เรามีความเข้าใจหรือไหม (..fit with businesses we already own.)
3. การเติบโตของยอดขาย และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นตามยอดขายหรือไม่
4. ราคาที่เหมาะสม

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เชิงคุณภาพ เราต้องดูกิจการแข็งแกร่งหรือไม่ ทีมผู้บริหารที่มีศักยภาพ ใช้เงินลงทุนได้อย่างเหมาะสม แต่ที่สำคัญที่สุดที่เป็นตัวตัดสินว่าเราจะซื้อหรือไม่ คือ ราคาที่สมเหตุสมผล

4.การเข้าซื้อกิจการ (2)


ทำไม CEO จำนวนมากถึงชอบซื้อกิจการ ? 
เพราะพวกเขาโดนสื่อ โบรคเกอร์ Investment Banker เชียร์ให้เกิดดีลใหญ่ๆ เพราะพวกเขาจะได้รับเงินค่านายหน้าจากการทำธุรกรรม ถึงแม้ CEO เหล่านั้นจะรู้ดีว่า ราคาที่ซื้อนั้นแพงขนาดไหน แต่มันก็สามารถทำให้มันดูดีและคุ้มค่าโดยการทำนายยอดขายผ่านคอมพิวเตอร์ ... Spreadsheets ของ Excel ไม่เคยทำให้เราผิดหวัง

หลังจากการซื้อกิจการเสร็จ เรามักจะมีคำโก้หรูที่เปลี่ยนจากกิจการราคาแพงให้ดูมีความสมเหตุสมผลว่า "synergy (การรวมพลัง)" โดยมีผู้ถือหุ้นเป็นผู้จ่าย

ในปี 2017 ที่ผ่านมา มีดีลการซื้อกิจการมากมายโดยที่พวกเขาเชื่อกันว่ามันจะผลักดันกำไรให้เติบโตขึ้นอย่างมหาศาล แต่สิ่งที่เราลืมคิดไปนั้น คือ บริษัทนั้นโตด้วยการเพิ่มหนี้

พวกเราไม่เคยคิด ไม่เคยมองหาการ synergy ถึงแม้ว่าการกู้เงินจะเป็นการเพิ่มอัตราผลตอบแทนให้สูงขึ้น แต่ผมกับชาลีหวังแค่ว่า เราจะนอนหลับได้อย่างสบายใจ พวกเราไม่จำเป็นต้องเพิ่มความเสี่ยงมากมายจากสิ่งที่เราไม่ต้องการ

 

5. สิ่งที่ทุกคนมองข้ามในการเข้าซื้อหุ้น


บัฟเฟตต์ พูดถึงหุ้นต่างๆที่เขาได้เข้าไปซื้อในปีที่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น PFJ ธุรกิจจุดพักรถ สถานีบริการน้ำมัน, ธุรกิจ Clayton Homes, Shaw Industrie และ Precision Castpart ซึ่งจะเน้นพูดถึงตัวผู้บริหารมากกว่า

นั้นหมายความว่าบัฟเฟตต์ให้ความสำคัญกับตัวผู้บริหาร และภาพของธุรกิจมากที่สุด บัฟเฟตต์แทบจะไม่ได้พูดถึงเรื่องการคาดการณ์กำไรในอนาคตเลย

 

6. ความผันผวนของตลาดคือของปลอม ปันผลคือของจริง


ชาลี และผมเข้าใจในเรื่องของความเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจ และนั้นคือความหมายที่แท้จริงของหุ้น พวกเราไม่ได้ซื้อหรือขายมันเพราะ "กราฟราคาหุ้น" ,"ราคาเป้าหมายจากบทวิเคราะห์" หรือแรงเชียร์ซื้อหรือขายจากคนส่วนใหญ่ พวกเราซื้อและถือมันไว้เพราะคิดว่ามันเป็นธุรกิจที่ดีและยังมีปันผล

ปันผลเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ปีที่ผ่านมา Berkshire ได้รับเงินปันผลมากถึง 3.7 พันล้านเหรียญภายในปีเดียว ผมอยากจะชี้ว่าปันผล คือ เงินสด "ที่แท้จริง" ที่จะไหลเข้าสู่กระเป๋าของนักลงทุนและเป็นรางวัลสำหรับนักลงทุนที่ถือมันไว้ สำหรับผมแล้ว ผมยินดีที่จะรับเงินปันผลจากธุรกิจมากกว่าการคาดหวังส่วนต่างราคาหุ้น

การคาดการณ์ตลาดหุ้นระยะสั้นเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ที่จะคาดเดา หุ้นอาจจะขึ้นแรงและลงแรงได้เมื่อเวลาผ่านไป ก็เหมือนอย่างที่ เบน เกรเฮม บอกไว้ในระยะสั้นตลาดหุ้นเหมือนเครื่องลงคะแนนเสียง แต่ในระยะยาวแล้วมันคือเครื่องช่างน้ำหนัก

 

รอติดตามอ่านตอน 2 

 

 

 


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง