#แนวคิดด้านการลงทุน

อวสานของหุ้นปั่น / โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
168 views

ปีเตอร์ ลินช์ นักลงทุนเอกของโลกคนหนึ่งนั้นเคยเขียนหนังสือเบสต์เซลเลอร์ “One Up On Wall street” บอกว่าเวลาจะลงทุนในหุ้นเราจะต้องวิเคราะห์ดูว่าหุ้นตัวนั้น ควรจะถูกจัดอยู่ในกลุ่มไหนใน 6 กลุ่มนั่นก็คือ  หุ้นโตช้า  หุ้นแข็งแกร่ง  หุ้นโตเร็ว  หุ้นวัฏจักร  หุ้นฟื้นตัว และหุ้นมีทรัพย์สินมาก  ถ้าเราจัดกลุ่มถูกต้องแล้ว  กลยุทธ์ในการเข้าลงทุนหรือขายหุ้นก็จะง่าย   

 

อย่างไรก็ตาม  ในตลาดหุ้นไทยโดยเฉพาะในช่วงเร็ว ๆ นี้นั้น  ผมคิดว่าเรายังมีหุ้นอีกกลุ่มหนึ่งที่เป็นกลุ่มใหญ่มาก  บางทีอาจจะเป็นร้อยตัวที่ไม่สามารถจัดอยู่ใน 6 กลุ่มได้ตรง ๆ  และไม่ควรจัดเนื่องจากเราจะไม่สามารถใช้กลยุทธ์การซื้อขายตามที่ปีเตอร์ลินช์แนะนำ  หุ้นกลุ่มที่ว่านั้นก็คือหุ้นที่ผมจะเรียกว่า  “หุ้นปั่น” 

 

จริง ๆ  แล้วหุ้นปั่นนั้นก็คือหุ้นที่สามารถจัดเข้าเป็น 1 ใน 6 กลุ่มที่ปีเตอร์ลินช์กล่าวถึง   เพียงแต่ว่ามีคนไป Manipulate หรือจัดการด้วยวิธีการต่าง ๆ  ที่ทำให้ราคาของหุ้นผิดเพี้ยนไปจากที่ควรจะเป็นตาม  “พื้นฐานทางเศรษฐกิจ”  ของบริษัททั้งทางต่ำหรือสูง 

อย่างไรก็ตาม  มีน้อยมากที่หุ้นจะถูกจัดการให้มีราคาต่ำ ร้อยละ 99 หุ้นถูก “ปั่น” ให้ขึ้นไปสูงลิ่วซึ่งจะทำให้คนทำรวยมหาศาลอย่างรวดเร็วโดยการขายทิ้งในราคาหุ้นที่สูงขึ้นมากเป็น  “ฟองสบู่”  “ชั่วคราว” ในระยะเวลาสั้น ๆ  ไม่เกิน 2-3 ปี   ดังนั้น  ถ้าจะพูดให้เข้าใจชัดเจนจริง ๆ  ก็คือหุ้นปั่นตัวนั้นอยู่ในกลุ่มหุ้นโตช้า  หรือเป็นหุ้นโตเร็วที่ถูกปั่น  หุ้นฟื้นตัวที่ถูกปั่น  เป็นต้น

 

หุ้นปั่นหรือหุ้นที่ถูกปั่นนั้น  มักจะถูกเลือกขึ้นมาด้วยปัจจัยหรือเหตุบางอย่างที่คนปั่นดูแล้วจะมีโอกาสประสบความสำเร็จสูงในสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในตลาด  และต่อไปนี้คือความเห็นหรือมุมมองของผมที่สังเกตสภาพแวดล้อมของตลาดและ “หุ้นปั่น” แต่ละตัวมายาวนาน

ประเด็นแรกก็คือ  หุ้นปั่นมักจะมีมากในช่วงที่ตลาดหุ้นบูมเป็นกระทิงมายาวนาน โดยที่มีช่วงที่ปรับตัวลงแรงน้อยมาก  และนี่ก็คือภาวะของตลาดหุ้นไทยในช่วงไม่ต่ำกว่า 4-5 ปีมานี้  เพราะในสภาวะแบบนี้  คนอยาก “เก็งกำไร”  อยากที่จะได้ผลตอบแทนเร็วมากในระยะเวลาอันสั้น 

ในขณะที่คน “ไม่กลัวความเสี่ยง”  พวกเขารู้ว่าบางทีตลาดก็ปรับตัวลงแต่ก็มักจะไม่มากและไม่ต่อเนื่อง  รอสักพักเดี๋ยวก็ “เด้ง” กลับขึ้นมา  เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ  เวลากำไรพวกเขาเห็นว่ามักจะได้หลาย ๆ  เท่าหรือเป็นสิบเป็นร้อยเท่าอย่างในกรณีของบิทคอย  แต่เวลาขาดทุน  อย่างมากก็ขาดทุนแค่  “เท่าเดียว”  คือการลงทุนเหลือ 0 บาท  อย่างไรก็ตาม  เขาก็แทบไม่เคยเจอ

 

ประการที่สอง  หุ้นปั่นนั้นจะต้องมี “สตอรี่”  หรือเรื่องราวที่บริษัทจะทำที่น่าสนใจและมีศักยภาพที่สูงมาก  การเติบโตของกำไรจะต้องสูงลิ่วและโตต่อไปได้เรื่อย ๆ อีกนานจนกลายเป็นบริษัทที่ “ยิ่งใหญ่”  หรือดีกว่าเดิมมาก ในกรณีที่บริษัทยังย่ำแย่มีปัญหาต้องแก้ไขหรือเอาตัวรอดในกรณีที่เป็นหุ้น “กำลังฟื้นตัว” เป็นต้น   สตอรี่เหล่านั้นจะต้อง “จับต้องได้”  และมีแผนงานรองรับ  และถ้าจะให้ดีขึ้นไปอีกก็คือ  กำลังลงมือทำและเริ่มเห็น “ความก้าวหน้า” ที่ชี้ให้เห็นว่าในที่สุดบริษัทก็จะประสบความสำเร็จในระดับที่สูงขึ้นเรื่อย ๆ   มองในแง่นี้แล้วก็ต้องยอมรับว่าหุ้นปั่นนั้น   จะต้องมีเจ้าของหรือผู้บริหารที่กระตือรือร้นและมีความคิดสร้างสรรค์พร้อมที่จะขับเคลื่อนกิจการให้ก้าวไปข้างหน้าและจะต้อง  “เล่นด้วย”  กับคนปั่น

 

ประการที่สาม  หุ้นปั่นนั้นจะต้องมีระบบหรือมีความ “พยายามร่วม”  ที่จะ “ประชาสัมพันธ์”  หรือ “เชียร์หุ้น” โดยฝ่ายต่าง ๆ  ที่เกี่ยวข้องและมีผลประโยชน์ร่วมกัน

 

ข้อสี่  หุ้นปั่นนั้นจะต้องมีหุ้นที่ Float หรือหมุนเวียนในตลาดน้อย เมื่อเทียบกับปริมาณการซื้อขายของคนที่เข้ามาเล่นหรือลงทุน  ก่อนที่หุ้นจะขึ้นนั้น  มูลค่าหุ้นหมุนเวียนอาจจะมีเพียงไม่เกิน 4-5 พันล้านบาท ซึ่งอยู่ในวิสัยที่นักลงทุนรายใหญ่เพียงแค่ไม่กี่รายก็สามารถ Corner หรือกวาดซื้อหุ้นจนเกือบหมดได้    ซึ่งการที่เหลือหุ้นน้อยมากนั้น  จะทำให้การไล่ราคาให้ขึ้นไปสูงลิ่วทำได้ง่ายมาก

 

ข้อห้า  หุ้นปั่นนั้นจะต้องมี  “เจ้ามือ” ที่ถือหุ้นจำนวนมาก  บางทีอาจจะถึง 5-10% ของทั้งบริษัท หรืออาจจะมีหลายรายที่ถือหุ้นรวมกันมากยิ่งกว่านั้น  และถ้าหุ้นที่ถูกปั่นนั้นมี Free Float แค่ 25-30%  ก็เท่ากับว่าหุ้นตัวนั้นถูก “Corner” โดยปริยาย  ราคาหุ้นหลังจากนั้นก็แทบจะ “ถูกควบคุม” ได้โดยเจ้ามือ

 

ข้อหก  หุ้นปั่นนั้น คนที่เข้าไปเล่นมักจะใช้มาร์จินในการซื้อขายหลักทรัพย์สูง   พวกเขาต้องใช้เงินมากหรือต้องการ “เพิ่มพลัง”  ในการปั่น และหวังที่จะได้กำไรเป็นทวีคูณในระยะเวลาอันสั้น  เหนือสิ่งอื่นใด  อัตราดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายให้โบรกเกอร์ก็ต่ำมาก  นอกจากนั้น  เวลาที่หุ้นปรับตัวขึ้นไปสูง  อัตรามาร์จินก็จะลดลงเองโดยอัตโนมัติ  ดังนั้นพวกเขาไม่คิดว่ามันจะเป็นความเสี่ยงที่จะถูก Force Sale หรือบังคับขายในยามที่หุ้นตกลงมา

น่าจะยังมีประเด็นอื่น ๆ ที่ผมไม่สามารถพูดได้หมด  แต่สิ่งที่ผมเห็นในหุ้นปั่น  “รอบนี้” หรือช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาก็คือ  หุ้นที่ถูกนำมาปั่นส่วนใหญ่เป็น  “หุ้นโตเร็ว” ในขณะที่หุ้นวัฏจักรและหุ้นฟื้นตัวที่เคยถูกนำมาปั่นก่อนหน้านี้  “เน่า”  หรือถูกเลิกปั่นกันไปแทบจะหมดแล้ว

 

หุ้นปั่นที่มีราคาแพงผิดธรรมชาติมากนั้น  ในที่สุดก็หนีไม่พ้น  “กฎเหล็ก” ของการลงทุนที่ว่าในที่สุดหรือในระยะยาว  “ราคาหุ้นจะต้องสอดคล้องกับพื้นฐานของกิจการเสมอ”  และถ้าเรากำหนดว่าหุ้นที่จะเข้าข่ายเป็นหุ้นปั่นนั้นจะต้องมีราคาเกินพื้นฐานไม่ต่ำกว่า 50% ก็หมายความว่าในตอนท้ายหรือตอน “จบเกม”  ของการปั่น ราคาหุ้นก็น่าจะต้องตกลงมาอย่างน้อยประมาณ 30% แน่นอน  หุ้นปั่นจำนวนมากมีราคาปรับขึ้นไปสูงกว่า 50% มาก  หลายตัวขึ้นไปหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ก็มี  ดังนั้นช่วงที่หุ้นปรับตัวลง ราคาก็อาจจะตกลงมาเกิน 50% ได้ง่าย ๆ

 

คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ  “หุ้นปั่น”  รอบนี้ที่ผมคิดว่ามีเป็นร้อยตัว  ถึงเวลาจบหรือยัง?   คำตอบของผมก็คือ  ถ้าไม่จบก็น่าจะใกล้มากแล้ว  เหตุการณ์ที่ตลาดของหุ้นขนาดใหญ่มีการปรับตัวแรงเป็นบางวันตามตลาดหุ้นนิวยอร์คที่ปรับตัวลงแรง เนื่องจากสัญญาณการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ในช่วงเดือนนี้ได้กระตุ้นให้นักลงทุนตระหนักว่าตลาดกระทิงอาจจะถึงเวลาหยุดลง   จริงอยู่ดัชนีหุ้นไทยก็ยังดูดีอยู่  แต่นั่นก็เป็นเพราะหุ้นใหญ่โดยเฉพาะหุ้นพลังงานและปิโตรเคมีมีผลประกอบการที่ยอดเยี่ยม   แต่ถ้าดูหุ้นขนาดกลางและเล็กที่เล่น โดยนักลงทุนส่วนบุคคลก็จะพบว่าราคาของหุ้นตกลงไปพอสมควรและเป็นการตกลงมาต่อเนื่องน่าจะหลายเดือนแล้ว  ยิ่งกว่านั้น  ผลประกอบการของหุ้นจำนวนไม่น้อยที่มีราคาปรับตัวขึ้นไปมากจนเข้าข่ายเป็น “หุ้นปั่น” ก็มีผลประกอบการที่ย่ำแย่ “ต่อเนื่อง”  ซึ่งน่าจะทำให้ความมั่นใจต่อ  “สตอรี่” ของบริษัทลดลงไปมาก

ประเด็นสำคัญที่จะทำให้หุ้นปั่นจบจริง ๆ  นั้น  ผมคิดว่าอยู่ที่ “เจ้ามือ” เลิกเล่น  หรือ “Corner แตก” อาจจะเนื่องจากมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เทขายหุ้น  มีการ Force Sale ที่ทำให้หุ้นตกมาก   และสุดท้ายที่สำคัญที่สุดก็คือ  นักเก็งกำไรรายย่อย  “เลิกเล่น” เพราะไม่สามารถทำเงินได้และ  “หมดหวัง” กับสตอรี่ของบริษัท  บางทีพวกเขาอาจจะคิดว่า  “ไปเล่นหุ้นปตท. ดีกว่า”  ดังนั้น  ข้อสรุปของผมก็คือ  นี่น่าจะเป็น  “อวสานของหุ้นปั่น”

 

บทความ โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร 


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง