TOA ผู้นำนวัตกรรมสีแห่งอาเซียน กับ ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล และดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ในรายการ Business Model สรุปสาระสำคัญมาให้อ่านกัน
ลักษณะธุรกิจ
บริษัทประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวให้กับกลุ่มผู้ใช้งานประเภทลูกค้าทั่วไป โดยแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักเป็น 2 กลุ่ม1. ผลิตภัณฑ์สีทาอาคาร 2. ผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวและผลิตภัณฑ์ประเภทอื่น เช่น ผลิตภัณฑ์สีและสารเคลือบผิวสำหรับงานไม้ ผลิตภัณฑ์เคมีก่อสร้าง ผลิตภัณฑ์สีที่มีความทนทานสูง และ ผลิตภัณฑ์ฮาร์ดแวร์
ส่วนที ดร.วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล วิเคราะห์ไว้ในรายการ
- ธุรกิจสี เป็นธุรกิจที่มีรายย่อยเยอะ
- สี TOA แบ่งเป็นสองธุรกิจในด้านสี คือ 1. สีทาเคลือบผิว และ 2 สีทาอาคาร
- สีทาเคลือบผิว TOA มีส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 28% ส่วนสีทาอาคารมีส่วนแบ่งประมาณ 48%
-โครงสร้างรายได้จากในประเทศ 88% และต่างประเทศอีก 11% ที่น่าสนใจคือ CLMV โดยเวียดนามมีรายได้ประมาณ 6%
- บริษัท TOA มีช่องทางจัดจำหน่าย 2 ช่องทาง โดยช่องทางจัดจำหน่ายแรก คือ ผู้ค้ารายย่อย ประมาณ 73% และขายผ่านโมเดิร์นเทรดประมาณ 27%
- สรุปแล้ว TOA เป็นแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ช่องทางจัดจำหน่ายหลากหลายโดยไม่พึ่งใครมากเกินไป และมีรายได้จากต่างประเทศด้วย
- บริษัทมี Gross Margin ประมาณ 35% และ Net Margin ประมาณ 10.7% ถือว่าอยู่ในระดับดีมาก
- บริษัทมีเป้าหมายจะรุกต่างประเทศมากขึ้น โดยเฉพาะอินโดนีเซีย และเวียดนาม
- จำนวนอาคารในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้นแต่ละปี โตประมาณ 5% ถือว่าผ่านจุดสูงสุดไปแล้ว ในขณะที่อินโดนีเซียโตประมาณ 9%
- สิ่งที่นักลงทุนกำลังดูอยู่ คือ การสร้างโรงงานใหม่ที่อินโดนีเซีย จะทำให้สัดส่วนรายได้ของ TOA เป็นอย่างไร
- ROE ของ TOA อยู่ที่ 24% และ P/Bv อยู่ที่ 6.9 เท่า และ P/E ที่ 39 เท่า หมายถึงนักลงทุนให้มูลค่าพอสมควร ที่สำคัญคือบริษัทจะมองหาการเติบโตตามที่คาดหวังได้อย่างไร การไปต่างประเทศจะประสบความสำเร็จไหม ต้องติดตามกันต่อ แต่ในเมืองไทยถือว่าประสบความสำเร็จ
- สำหรับนักลงทุนที่สนใจหุ้นตัวนี้ และอยากจะประเมินมูลค่าหุ้น น่าจะสามารถหามูลค่าจาก Discount Cash Flow ได้ และมองว่าการเปิดตลาดที่อินโดนีเซียและเวียดนามเป็นอย่างไร จะประสบความสำเร็จหรือไม่ เติบโตมากน้อยแค่ไหน เป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องประเมินถึงอนาคต
- ผมมองว่า นักลงทุนยังไม่ได้ให้ Growth ของ TOA ที่เปิดตลาดในอินโดนีเซีย แต่ให้ราคาไปแล้วกับการลงทุนในเวียดนาม แต่ถ้าตลาดในเวียดนามประสบความสำเร็จ จะมีอัพไซด์ที่เด่นชัดมากกว่านี้
ส่วนที ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร วิเคราะห์ไว้ในรายการ
- ผมมองว่าธุรกิจสีทาบ้านเป็นธุรกิจที่อิ่มตัวไปแล้ว
- ที่ผ่านมาบริษัทไม่โตเลย แต่บริษัทอยู่มานานกลายเป็นผู้ชนะไปแล้ว และแบรนด์สินค้าของเขาก็แข็งแกร่ง
- ธุรกิจนี้อาจจะโตต่อไปไม่ได้แล้ว เพราะไม่รู้ว่าจะโตช่องทางไหน และจะลงทุนเพิ่ม ก็ไม่รู้ว่าบริษัทสามารถลงทุนอะไรเพิ่มได้อีก เครื่องจักร? กระบวนการผลิต? มันก็ถือว่าไม่ได้ลงทุนมากอย่างมีนัยยะสำคัญ
- ทุกวันนี้" สี" มันก็เหมือนๆกันนะ ในความรู้สึกผม ยี่ห้อไหนก็ไม่ต่างกันมาก สีเหมือนกัน อาจจะต่างกันทางด้านราคา เรียกได้ว่าไม่มีความจงรักภักดีในตราสินค้า
- บริษัท TOA เป็นบริษัทที่อยู่ได้ แต่ไม่โต
- ด้านการขยายไปต่างประเทศ .... นี้ก็ถือว่าเป็นช่องทางการโตอย่างหนึ่งนะ แต่มันก็ยังเป็นประเด็นให้ถกกันอีกว่า มันจะประสบความสำเร็จจริงหรือ ตรงนี้ยังเป็นคำถามอยู่ การลงทุนในต่างประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย
- TOA เป็นหุ้นกินปันผล แต่ตอนนี้ TOA ยังไม่มีข้อมูลย้อนหลังว่าจะปันผลเท่าไรในช่วงที่ผ่านมาจึงไม่สามารถบอกได้ว่าปันผลมากหรือน้อย ณ ตอนนี้
- เวียดนามเป็นประเทศโตเร็ว ตรงนี้ผมเห็นด้วย แต่อย่าลืมว่าการที่ TOA เข้าไป เขามีเจ้าถิ่นอยู่แล้ว เราโต เขาอาจจะโตเร็วกกว่าเราก็ได้ ในอินโดนีเซียก็เหมือนกัน
--------------------------------------------------
ขอบคุณแหล่งข้อมูล : รายการ Business Model TOA ผู้นำนวัตกรรมสีแห่งอาเซียน ช่อง Money Channel