นักลงทุนที่ลงทุนในหุ้นมาซักระยะหนึ่ง มักจะคิดว่าการเล่นหุ้นใหญ่นั้นไม่เท่ห์ เพราะเราไม่ใช่คนแรกๆที่เห็นมัน อีกทั้งยังเห็นราคาที่ขึ้นมาสักพัก แน่นอนว่าใครๆก็อยากจะซื้อคนแรก ขายคนสุดท้าย นักลงทุนสายมโนจึงมุ่งเน้นการเฟ้นหาหุ้นตัวเล็ก เพราะอยากเป็นผู้ชนะตลาด แต่สุดท้ายแล้วกลายเป็นเล่นยังไงก็เจ๊ง ปีที่ผ่านมาตลาดขึ้นมา 200 กว่าจุด แต่หุ้นตัวนำตลาดนั้นกระจุก ได้แก่ PTT, AOT , SCC , ฯลฯ กลายเป็นว่าซื้อกองทุนดัชนีทิ้งไว้เฉยๆ ก็กำไรมากมาย
สำหรับในปีนี้ การจะหาหุ้นลงทุนนั้นย่อมยากกว่าปีที่แล้ว ก่อนที่ตลาดจะไป 2000 จุด เรามาหาหุ้นที่มี upside และทนต่อการปรับฐานของตลาด ซึ่งดิฉันได้สรุปง่ายๆออกมา 4 ข้อดังนี้
1) เลือกหุ้นจากแบรนด์ : นักลงทุนอันดับหนึ่งของโลกอย่าง Warren Buffet ได้ให้ความสนใจกับคำว่าแบรนด์ไว้มากที่เดียว เพราะหุ้นที่มีแบรนด์เป็นที่จดจำได้ดีมักทำกำไรได้อย่างมั่นคง อาทิ Coca-cola , South-West Airline (นี่เป็นเพียงตัวอย่างเท่านั้น) แต่เราสามารถเอาแนวความคิดมาปรับ ถ้าเราจะหาหุ้นในเมืองไทยที่แบรนด์เป็นที่จดจำ เราอาจมองหุ้นที่มีความละม๊ายกับหุ้นในต่างประเทศก็ได้ อาทิ AAV, SSC แต่เราจะต้องลงทุนในช่วงเวลาที่เราสามารถวิเคราะห์การเติบโตของธุรกิจได้เท่านั้น เช่นการมี partner เพิ่ม เช่น มีการพันธมิตรกับธนาคารเพื่อให้ลูกค้าชำระเงินง่ายขึ้น เมื่อเราจินตนาการถึงการเติบโตได้ เราก็ลงทุนได้
2) เลือกหุ้นจากเทรนโลก : ก่อนหน้านี้ดิฉันศึกษาต่ออยู่ที่ประเทศจีนเป็นเวลา 6 เดือน สังเกตเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของสังคมไร้เงินสด พอกลับมาเมืองไทยปุ๊บก็เห็นการเปลียนแปลงทางพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ถอดแบบกันมาอย่างรวดเร็ว อาทิ หุ้นห้างสรรพสินค้าใหญ่ หันมาเน้นการขายออนไลน์ และรายได้ในส่วนออนไลน์ก็โตอย่างก้าวกระโดด อาทิหุ้น COL (บมจ. ซีโอแอล) บริษัทลูกของเครือเซ็นทรัลที่เน้นการค้าปลีกออนไลน์ ทุกวันนี้ดิฉันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเสพติดการซื้อของออนไลน์ไปแล้ว เราจึงเห็นการเติบโตของ E-commerce ค่อยๆมาแทนที่ร้านค้าแบบดั้งเดิม
3) เลือกหุ้นจากการผูกขาด : บริษัทไหนสัมปทานมากมีความสัมพันธ์กับรัฐบาลที่ดียิ่งได้เปรียบ เพราะการขายสินค้าที่จำเป็น และมีรายได้อย่างมั่นคง ในเมื่อกำไรมีตลอด ราคาหุ้นจะตกได้อย่างไร ยกตัวอย่างเช่น AOT ยิ่งซื้อยิ่งขึ้น พอราคาขึ้นปุ๊บกำไรโต ไหนจะขยายกิจการ เปิดเฟสใหม่ใครมีหุ้นแบบนี้ขออย่างเดียวคืออย่าขายนะ.. ทำได้ไหม ?
4) เลือกหุ้นที่มีบรรษัทภิบาลที่ดี : ข้อนี้ต้องขอฝากไว้แม้ไม่เกี่ยวกับการปรับฐานของตลาด ถ้าคุณไม่ชอบหุ้นอินดี้ประเภทที่ว่าหุ้นตัวอื่นขึ้น หุ้นเราดิ่ง เพราะเวลาประเมินมูลค่าหุ้น เราดูกำไร ดูหนี้สิน ดูอัตราส่วนทางการเงิน แต่ธรรมาภิบาลนั้นคำนวณไม่ได้ กระจายความเสี่ยงก็ไม่ได้ บริษัทไหนธรรมาภิบาลไม่ดี ก็อาจมีเรื่องให้หวาดเสียวเรื่อยๆ ถ้าไม่อยากลงลิฟท์บ่อยๆ เอาเป็นว่าเลือกผู้บริหารที่พูดจริงทำจริง รับผิดชอบกับเงินนักลงทุนจะดีกว่านะจ๊ะ