#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้นไทย

โดย กิติชัย เตชะงามเลิศ
เผยแพร่:
602 views

ปีนี้เปิดมาตลาดหลักทรัพย์ดูไม่สดใส วันแรกที่มีการซื้อขายก็ลงแบบถล่มทลาย เหมือนกับอัดอั้นกันมานาน ลงวันเดียวเกือบ 70 จุด นับว่าเป็นการลงมากสุดภายในวันเดียวในรอบปีเลย พอมาดูว่าใครกันเป็นคนขาย กลับกลายเป็นว่าตัวการคือ สถาบันภายในประเทศ ขณะที่ฝรั่งกลับเป็นฝ่ายซื้อ ตั้งแต่ต้นปีมาจะเห็นได้ว่า สถาบันภายในประเทศเป็นผู้ขายหลัก ในขณะที่ฝรั่งเป็นผู้ซื้อ เรามาดูกันนะครับว่าสาเหตุที่สถาบันขายหุ้น น่าจะมาจากแรงขายของผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุน LTF ที่ถือมาครบ 5 ปีปฏิทิน ซึ่งก็ยังได้กำไรประมาณ 20% ถ้าเขาซื้อหน่วยลงทุนเมื่อปลายปี 2553 รวมทั้งผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุน RMF ที่ถือมาครบ 5 ปี และมีอายุเกิน 55 ปี และผู้ถือหน่วยลงทุนของกองทุนอื่นๆ ที่มีความไม่มั่นใจในสถาการณ์ การเมืองในประเทศที่กำลังร้อนระอุอยู่ และผลกระทบจากเหตุการณ์ Bangkok Shutdown ว่าจะเป็นอย่างไร จนทำให้ราคาหุ้นตกลงมาค่อนข้างมาก ทำให้หุ้นไทยดูมีความน่าลงทุนมากขึ้นในสายตานักลงทุนระยะยาว เมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นของเพื่อนบ้าน กอรปกับค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงมาอย่างรวดเร็วลงไปต่ำกว่า 33 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐแล้วทำให้ต่างชาติใช้เงินดอลลาร์น้อยลงในการแลกเงินบาท บวกกับราคาหุ้นที่ถูกลงมามากแล้ว

เมื่อเทียบกับจุดสูงสุดที่เกือบ 1,650 จุดเมื่อเดือนพฤษภาคมปีที่แล้ว นับว่าลงมาประมาณ 445 จุดแล้ว (ถ้าเทียบกับจุดต่ำสุดที่ 1,205.44 จุดเมื่อวันที่ 6 มกราคมที่ผ่านมา) งานนี้ฝรั่งกำไร 2 เด้งจริงๆ ขายไปตอน 1,600 จุดแล้วมารับกลับแถว 1,200 จุด ช่วงที่ขายหุ้นเงินบาทอยู่ที่ประมาณ 30 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่ช่วงที่กลับมาช้อนซื้อเงินบาทอยู่แถว 33 บาท กำไรหุ้นประมาณ 25% +ค่าเงินอีกเกือบ 10% นับว่าเป็นผลตอบแทนที่ช่างน่าอภิรมย์จริงๆ จริงอยู่แม้ฝรั่งทยอยขายลงมาเรื่อยๆ และคงจะทยอยซื้อไปเรื่อยๆ รวมทั้งค่าเงินบาทที่ทยอยอ่อนตัวลงมาตั้งตั้งแต่ไตรมาส 2 ปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามคาดว่ากำไรถั่วเฉลี่ยของต่างชาติรอบนี้จากทั้งราคาหุ้นและค่าเงินน่าจะอยู่ที่ 20-25% การ Rebound รอบนี้ อยากให้ท่านนักลงทุนสำนึกไว้ในใจนะครับ เป็นการเด้งขึ้นมาเพราะภาวะ Oversold บวกกับราคาหุ้นบ้านเราดูแล้วถูกกว่าเมื่อเทียบกับหุ้นของตลาดเพื่อนบ้าน ไม่ใช่เพราะว่าพื้นฐานประเทศเราดี อย่าโกหกตัวเองเลยครับ

ลองมาดูปัจจัยลบภายในปีนี้ว่ามีอะไรกันบ้าง ผมพยายามทบทวนและรวบรวมความคิดได้เป็นดังนี้ครับ
1). ความไม่มีเสถียรภาพของการเมืองในประเทศ ซึ่งไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้เลยว่าจะจบอย่างไร จะมีเลือกตั้งไหม จากการพยายามขัดขวางไม่ให้มีการเลือกตั้งของกปปส. ด้วยวิธีการต่างๆ ถ้าสำเร็จผล ไม่สามารถจัดการเลือกตั้งได้ แต่นายกรัฐมนตรีรักษาการไม่ยอมลาออก นั่งเก้าอี้ลากยาวต่อไปเรื่อยๆ จะทำอย่างไร เพราะว่าตามมารยาทนายกรักษาการจะไม่สามารถออกนโยบายใหม่ๆ อะไรได้ คงได้แต่สานนโยบายเดิม และใช้เงินงบประมาณบริหารประเทศไปวันๆ หรือมีการเลือกตั้ง แต่ได้พรรคเพื่อไทยเป็นรัฐบาลเหมือนเดิม การประท้วงของกปปส. ก็คงจะยังดำเนินต่อไป และอาจจะเข้มข้นยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังต้องลุ้นระทึกการตัดสินของปปช. และศาลรัฐธรรมนูญภายในเดือนมกราคม ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร จะมีผลต่อนายกและรัฐมนตรีท่านอื่นๆ รวมทั้งพรรคเพื่อไทยด้วยว่าจะเป็นอย่างไร ช่วงนี้คนเสื้อแดงก็ยังเงียบๆ อยู่ ยังไม่มีการรวมตัวประท้วงกันเป็นเรื่องเป็นราว ถ้าวันใด 2 กลุ่มนี้ (กปปส.กับคนเสื้อแดง) ปะทะกันจริงๆ อย่างที่หลายโหรทำนาย อะไรจะเกิดขึ้น ทหารจะต้องออกมาหรือไม่ เป็นเหตุการณ์ที่คาดการณ์ได้ยาก แต่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะจะเป็นปัจจัยสำคัญในการกำหนดชะตากรรมของประเทศ อย่างไรก็ตามผมคิดว่าความวุ่นวายเหล่านี้น่าจะจบภายในไตรมาส 1 ปีนี้
2). สัดส่วนหนี้ครัวเรือนของไทยเราขึ้นมาที่ระดับเกิน 80% แล้ว ทำให้ความสามารถในการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนไม่สามารถจะโตได้มากมายนักและจากนโยบายรถคันแรกเป็นการดึงกำลังซื้อของอนาคตมาใช้ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้สินเชื่อเช่าซื้อรถด้วยแล้ว ต้องมืภาระผ่อนอีกหลายปีจะดึงกำลังซื้อของกลุ่มคนนี้ไป คงได้แต่หวังว่าเศรษฐกิจโลกปีนี้จะเริ่มฟื้นตัวอย่างจริงจัง โดยตัวเลขเศรษฐกิจทางฝั่งสหรัฐก็ดูดีขึ้นเรื่อยๆ เศรษฐกิจของกลุ่มประเทศ EU ก็เริ่มฟื้นตัว จีนก็น่าจะเติบโตในระดับใกล้เคียงกับปีที่แล้ว น่าจะทำให้กลุ่มส่งออกของเราดีขึ้น ยิ่งค่าเงินบาทที่อ่อนตัวลงประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว น่าจะทำให้สินค้าไทยดูมีราคาถูกลง อย่างไรก็ตามค่าเงินของประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน ซึ่งเป็นคู่แข่งทางการค้าของเราในสินค้าบางประเภทก็อ่อนตัวลงเช่นกัน โดยเฉพาะอินโดนีเซียที่ค่าเงินรูเปียะห์อ่อนค่าลงค่อนข้างมาก
3). การปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของนักวิเคราะห์ทั้งหลาย น่าจะปรับลงจากครั้งก่อน ซึ่งจะทำให้ต้องมีการปรับราคาเป้าหมายของหุ้นแต่ละตัว โดยปกติยิ่งมีการเติบโตของกำไรยิ่งสูงค่าตัวคูณ P/E ที่นักวิเคราะห์ให้กับหุ้นนั้นๆ ก็จะสูง ในทางกลับกันถ้ามีอัตราเติบโตของกำไรในระดับต่ำ ค่า P/E ที่ให้ก็จะยิ่งต่ำลง ทำให้ราคาเป้าหมายของหุ้นจะแตกต่างกันยิ่งมาก ถ้าอัตราการเติบโตต่างกันมาก
4). พรบ. 2 ล้านล้านบาทที่ตกไปและการที่รัฐบาลรักษาการซึ่งเปรียบเสมือนกับเป็ดง่อย จะทำให้ไม่มีเงินหรือนโยบายที่จะมากระตุ้นเศรษฐกิจ โอกาสที่เศรษฐกิจไทยจะโตเกิน 4% ในปีนี้คงไม่ใช่เรื่องง่าย คงต้องหวังภาคส่งออกเป็นหลักส่วนภาคท่องเที่ยวปีที่แล้วเป็นปีทองปีหนึ่ง แต่ปีนี้ไตรมาส 1 ซึ่งเป็นช่วง High Season คงได้รับผลกระทบจากการประท้วงแน่ๆ ที่เห็นชัดๆ คือ การยกเลิกทัวร์ของกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีน
เนื้อที่หมดแล้ว เอาไว้คุยต่อในวันพุธหน้าและผมจะพูดถึงธุรกิจเด่นและดับในปี 2557 ในสายตาผมครับ

 


เจ้าของหนังสือ Best Seller  “จาก 1 ล้าน เป็น 500 ล้าน ผมทำอย่างไร” และยังเป็นนักลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ที่มีชื่อเสียง และเป็นที่สนใจของสื่อกระแสหลักอย่างมาก  ทำให้นอกจากคุณกิ๊ดจะทำบริษัทของตนเอง ก็ยังได้รับเชิญเป็นแขกรับเชิญ และเป็นผู้ดำเนินรายการ อาทิเช่น ในรายการถอดรหัสหุ้น และยังเป็นนักเขียนให้ โพสทูเดย์, นิตยสารคนรวยหุ้น, Condo Guide, Stock Review, Me (Market Evolution), Glow และ Lisa เป็นต้น

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง