คอลัมน์ STOCK2MORROW EXPRESS
ตลาดหุ้นไทยขึ้นมานิวไฮที่ 1800 จุดแล้วกลัวจะตกจังเลยรีบขายกองทุนหุ้นทิ้งดี ไหม ?
กองทุนจีน … นี้น่าซื้อไหม ? กองทุนที่เปิดใหม่ตัวนั้น …น่าสนใจไหม ?
ตลาดหุ้นอเมริกาขึ้นมาแบบนี้ควรขายกองทุน … ทิ้งเลยดีไหม?
นี้คือคำถามหลักๆที่เห็นได้ตามเพจให้ความรู้กองทุนรวมทั่วไป…ซึ่งเป็นถามเกี่ยวกับการกะจังหวะการลงทุนทั้งสิ้น
คำตอบของคำถามเหล่านี้ อาจทำให้คุณได้กำไรบ้างในช่วงเวลาสั้นๆ แต่มันจะไม่ทำให้พอร์ตการลงทุนเติบโตอย่างยั่งยืน เพราะสิ่งสำคัญที่จะทำให้คุณได้กำไรอย่างยืนคือ “การกระจายพอร์ตการลงทุนอย่างเหมาะสม หรือ Asset Allocation” แล้วถือไปให้ยาวเพียงพอ (ตราบที่พื้นฐานกองทุนยังดีอยู่ … ได้ 4-5 ดาวอย่างสม่ำเสมอ)
การกระจายการลงทุน Asset Allocation ไม่ได้ช่วยให้เราได้กำไรสูงสุด แต่จะช่วยให้เราถือกองทุนได้ยาวๆ…เพราะเงินเราไม่ได้ไปลงทุนในประเทศใดประเทศหนึ่ง แค่เพียงที่เดียว เพราะไม่มีใครบอกได้หรอกว่าประเทศที่เราลงทุนอยู่จะดีตลอดเวลา
ยกตัวอย่างเช่นในปี 2558 คนซื้อกองทุนหุ้นไทยแถมเป็นกองทุนที่เก่งเป็นอันดับต้นๆเลยก็ยังขาดทุน เพราะในปีนั้นตลาดหุ้นไทยติดลบประมาณ 15% แต่ถ้าปีนั้นคุณมีการกระจายการลงทุนโดยไม่ได้ลงทุนแต่ในหุ้นไทย มีการลงทุนในหุ้นญี่ปุ่นบาง ลงทุนในหุ้นเยอรมันบาง พอร์ตการลงทุนก็น่าจะขาดทุนไม่เยอะเท่าไรหรืออาจไม่ขาดทุนเลยเพราะตลาดหุ้นญี่ปุ่นและตลาดหุ้นเยอรมันปรับตัวเพิ่มขึ้นประมาณ10% (แต่ขอร้องให้มองผลตอบแทนเป็นพอร์ตรวมนะครับ เพราะเราจะชอบไปมองตัวที่ขาดทุนอย่างเดียว …. )
ถ้าเราเข้าใจแล้วว่าเราต้องกระจายเงินลงทุน เราจะเจอคำถามถัดไปทันทีว่า แล้วจะแบ่งเงินอย่างไรดี ???
คำถามนี้ต้องถูกตอบด้วยหลักเกณฑ์ของ Value Investor ของ วอเรน บัฟเฟตต์ แต่เปลี่ยนจากการคัดหุ้นพื้นฐานดีมาเป็น คัดประเทศพื้นฐานดีแล้วก็กระจายเงินลงทุนไปให้เหมาะสม แล้วก็ถือไปยาวๆแบบไม่ต้องปรับพอร์ต
ที่ต้องเน้นเรื่องถือไปยาวๆแบบไม่ต้องปรับพอร์ตเพราะว่าถ้าเราพยายามปรับพอร์ตตามข่าวสารที่ออกมาเราจะถูกข่าวสารหลอกจนทำให้เราไปขายในเวลาที่ไม่ควรขายและซื้อในเวลาที่ไม่ควรซื้อ (ถ้าเราไม่รู้จริงๆว่าข่าวที่ออกมากระทบกับพื้นฐานของประเทศจริงๆ…อย่าปรับเลยยย)
สำหรับคนที่มีประสบการณ์ ซื้อๆขายๆกองทุนรวมมาสักพักแล้ว อยากให้ลองย้อนไปพิจารณาดูว่า เงินลงทุนในกระเป๋าของคุณโดยรวมแล้วเพิ่มขึ้นไหม แล้วเพิ่มขึ้นเท่าไร เยอะกว่าการซื้อกองทุนดีๆสัก 2-3 กอง แล้วทนถือไปสัก 3-5 ปีหรือไม่ ???
ที่ต้องตั้งคำถามนี้เพราะว่าอยากจะชวนทุกๆท่านคิดไปพร้อมๆกันว่า การที่ท่านได้รู้สึกดีกับการซื้อๆขายๆ … ตัวที่ได้กำไรขายทิ้ง แต่ตัวที่ไม่ดีเก็บไว้ในพอร์ต … เคยลองคิดไหมว่าถ้าไอ้พวกตัวที่เคยขายได้กำไรไปแล้วถ้าถือวันนี้ท่านจะมีเงินเท่าไร ??? ส่วนใหญ่เวลาคนได้กำไรจากการลงทุนก็จะไม่ได้ย้อนถามตัวเองหรอกว่า ตกลงที่ฉันได้กำไรมาเพราะอะไร ฉันดวงดี(ซื้อถูกจังหวะพอดี) หรือจริงๆแล้วฉันเข้าใจการลงทุนอย่างแท้จริงแล้ว
เพราะถ้าเราไม่รู้ว่าเราได้กำไรเพราะอะไรมันจะไม่ยั่งยืน เพราะเมื่อเราคิดว่าคราวที่แล้วซื้อแบบนี้ก็ได้กำไร ทำแบบเดิมก็น่าจะได้กำไรเหมือนเดิม แต่………..ถ้าคราวที่แล้วถ้าการได้กำไรมาจากดวงละ (ซื้อในจังหวะที่ดีพอดี) แต่คราวนี้จังหวะไม่ดีเหมือนเดิม เราก็จะไม่ได้กำไรเหมือนเดิม
โดยสรุปถ้าอยากให้พอร์ตเติบโตอย่างยั่งยืน เราต้องมีการกระจายเงินลงทุนอย่างเหมาะสม (Asset Allocation) โดยเลือกประเทศที่พื้นฐานดีตามแนวทาง Value Investor ของ วอเรน บัฟเฟตต์ แล้วก็ทยอยซื้อตามเทคนิค Dollar Cost Average
และสุดท้ายก็ถือไปตราบที่พื้นฐานกองทุนยังดีอยู่ Moringstar Rating ยังคง อยู่ที่ 4 – 5 ดาวอยู่อย่างสม่ำเสมอ …ถ้าหล่นไป 3 ดาว บ้างสักพักนึงก็ดูไปก่อนไม่ต้องรีบขายทันทีหรอก ผลงานมันมีขึ้นๆลงๆ ซื้อมา ขายไปเรื่อย ๆ ค่าธรรมเนียมจะไม่คุ้มค่าผลตอบแทนเอา) เท่านี้ยังไงคุณก็จะประสบความสำเร็จในการลงทุนได้อย่างแน่นอน
บทความโดย รุ่งโรจน์ แก้วกาญจนา (โรจน์) ที่มา : https://www.thunhoon.com/article/s2m-3/