เมื่อดัชนี SET ขึ้นไปทำจุดสูงสุดใหม่ 1,800 จุด พร้อมกับราคาหุ้นหลายๆตัวทำ All Time High ไปกันแล้ว 

แล้วจังหวะเวลาแบบนี้ นักลงทุนหลายๆ คน คงเกิดคำถามขึ้นมาว่า ยังน่าลงทุนอยู่มั้ย ? 

ถ้าเป็นสาย VI คงต้องดูที่ราคาหุ้นว่ายังไม่เกินมูลค่าที่แท้จริง หรือ  ส่วนสายเทคนิคอล จะมีวิธีคิดดูว่าคุ้มค่าของการเทรด เช่น Risk/Reward Ratio 

 

ขอนำแนวคิดหนึ่งจากหนังสือ : 3 Pass Action ทางเลือกทำกำไร สายเทคนิค ช่วยตอบคำถามนี้กัน 

 

การลงทุนหรือทำธุรกิจใด ๆ ก็ตาม สิ่งที่คำนึงก่อนอันดับแรกๆ คือ ความคุ้มค่าของการลงทุน เพราะคุ้มค่า...ถึงน่าลงทุน...

 

จากความเชื่อที่ว่า การลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ หรือที่เรียกว่า “เล่นหุ้น” นั้นเป็นเรื่องที่ยากและซับซ้อนมาก ยิ่งสำหรับคนที่ลงทุนโดยใช้ปัจจัยทางเทคนิค (Technical  Analysis) ก็มักจะบอกต่อกันมาอยู่เสมอว่า เทคนิคที่นักลงทุนรายย่อยใช้จับจังหวะในการลงทุนนั้น มักจะถูกอ่านออกโดยนักลงทุนรายใหญ่  แล้วคนเหล่านี้ก็จะใช้เทคนิคอีกรูปแบบที่ครอบแนวความคิดของนักลงทุนรายย่อยลงมาอีกทีเพื่อทำกำไร  ก็เลยกลายเป็น ความเข้าใจผิดๆ  ว่าจะต้องหาวิธีในการเทรดที่ซับซ้อนมากขึ้นเรื่อยๆ  และเต็มไปด้วยเงื่อนไขต่างๆ นานาเพื่อใช้จับทางรายใหญ่ว่าจะเข้ามาลงทุนหรือจะขายหุ้นทิ้งเมื่อใด  

- บ้างก็ว่า…ต้องให้ราคาตีทะลุแนวต้านก่อน พร้อมมี  Buy  Volume  สมทบ  นี่แหละสัญญาณรายใหญ่เข้าซื้อ...

 

- บางคนอาจจะบอกว่าต้องให้  Signal ใน MACD ต้องตัดขึ้นเหนือ  0 Line ก่อน เพื่อยืนยันการขึ้นของแนวโน้มที่แข็งแรง  

 

- หรือบางคนอาจจะมีเงื่อนไขว่าต้องเกิดสัญญาณซื้อหลายๆ  อย่าง ในหลายๆ  เครื่องมือพร้อมกันก่อน  ถึงจะซื้อได้  

               

บนเครื่องมือทางเทคนิคนั้นๆ อีกมากมาย ซึ่งหลายครั้งก็เห็นด้วย แต่อีกหลายครั้งมันก็ไม่ได้เวิร์กเสมอไป ดังตัวอย่างที่จะแชร์ต่อไปนี้

 

3-1  AAV  weekly  มิ.ย. 2558 – ส.ค. 2559 

 

เราพบสัญญาณซื้อจากเครื่องมือทางเทคนิคยอดฮิต ทั้ง 3 อย่าง ดังนี้

1. เส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (EMA) ที่มีการเฉลี่ยจากจำนวนวันที่น้อย ไปตัดเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ที่มีการเฉลี่ยจากจำนวนวันที่มากกว่า ซึ่งจากรูปนั่นก็คือ เส้น EMA13 (สีน้ำเงิน) ตัดเส้น EMA34 (สีแดง) ขึ้น
2. DI+ (สีเขียว) ตัด DI- (สีแดง) ขึ้น ใน  ADX แสดงถึงภาวะ Bullish ที่เพิ่มขึ้น
3. เส้น MACD (สีดำ) ตัดเส้น Signal (สีแดง) ขึ้น และยกตัวขึ้นเหนือ เส้น 0

 

เราพบสัญญาณซื้อมากมายจากหลายเครื่องมือก็จริง แต่กว่าเราจะบรรลุในทุกเงื่อนไข ในการซื้อครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2  ราคาหุ้นก็วิ่งขึ้นมาถึงครึ่งทางของแนวโน้มขาขึ้นซะแล้ว และถ้าจะถามถึงความคุ้มค่า เมื่อเทียบราคาที่ซื้อ และราคาที่เป็นจุดสูงสุดของแนวโน้มชุดนี้ ย่อมไม่คุ้มค่าอย่างแน่นอน
  

บางครั้งเราก็ลืมไปว่าในบรรดาเครื่องมือต่างๆ หลากหลายชนิดที่ถูกคิดค้นขึ้นมานั้น ต่างก็ถูกออกแบบมาให้ใช้งานในแตกต่างสถานการณ์กันบ้าง คล้ายคลึงกันบ้าง ประสิทธิภาพการใช้งานในสถานการณ์ต่างๆ ก็แตกต่างกันออกไป จนเกิดเป็นข้อเปรียบเทียบว่า เครื่องมือไหนมีประสิทธิภาพมากกว่ากัน แล้วเราควรใช้เครื่องมืออะไรบ้าง ใช้กี่อย่าง ถึงจะดีที่สุด แต่ก็นั่นแหละครับ ไม่มีใครตอบได้...  

 

แต่ที่แย่คือ พอเลือกไม่ถูก หลายคนก็ “ยำ” มันรวมกัน โดยที่ไม่ได้ศึกษาอย่างถ่องแท้ว่า ในแต่ละเครื่องมือนั้นเหมาะจะใช้ทำอะไร และแน่นอนว่าผลลัพธ์มันไม่ได้เวิร์กเลย  เมื่อเราต้องเจอสัญญาณที่ขัดแย้งกันในหลายๆ ครั้ง หลายๆ เครื่องมือ  และ...ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างที่เรานำมายำรวมกัน ทั้งเครื่องมือและเงื่อนไขต่างๆ เกิดเป็นสัญญาณซื้อในหุ้นสักตัวหนึ่งขึ้นมาได้  

 

สิ่งหนึ่งที่ผมจะการันตีได้เลยคือ หุ้นตัวนั้นราคาจะต้องแพงขึ้นมามากแล้ว  ไม่ใช่ Good Price & Good Timing อย่างแน่นอน และที่สำคัญคืออาจจะใกล้ถึงจุดที่เทรดเดอร์ส่วนใหญ่เตรียมทำกำไรแล้วก็เป็นได้  ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า Risk Reward Ratio ในรอบนี้จะต้องไม่คุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะได้รับอย่างแน่นอน...  

 

“ต่อให้เป็นการลงทุน หรือการเก็งกำไรในบริษัท หรือสินค้าที่ดีแค่ไหน  หากปราศจากความคุ้มค่าแล้ว ก็ไม่น่าลงทุน”

 

จากแนวคิดหนังสือข้างต้น จะเห็นได้ว่า แม้แต่สายเทคนิคอล ยังต้องประเมินความคุ้มค่าของหุ้นในแต่ละตัวในแต่ละไม้ก่อนทุกครั้งที่เทรด เพื่อวางจุดซื้อ-ขาย ในการเทรดแต่ละรอบได้อย่างคุ้มค่า เครื่องมือมีอยู่มากมายให้เลือกใช้ แต่ไม่ใช่ว่าจะใช้ได้ดีทุกอัน เครื่องมือบางตัวก็เหมาะกับหุ้นบางตัว ในบางช่วงเวลา ดังนั้น ก่อนที่คิดว่าซื้อหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ลองมาประเมินความคุ้มค่ากันก่อน ถ้าคุ้มแล้วถึงน่าลงทุน และมีการวางแผนการลงทุนไว้ยังไงบ้าง ลองเขียนออกมาก่อนทุกครั้ง หลังจากนั้นนำมาประเมินว่าแผนที่เราวางไว้ใช้ได้หรือไม่ ต้องปรับแผนยังไงต่อไป 

 

สนใจหนังสือ คลิกได้เลย : 3 Pass Action ทางเลือกทำกำไร สายเทคนิค