#แนวคิดด้านการลงทุน

กรณีศึกษา 9 ข้อ การลงทุนที่ผิดพลาดของวอเร็น บัฟเฟตต์

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
116 views

"คนที่ไม่เคยทำอะไรผิด คือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย" คำพูดนี้เป็นเรื่องจริงทุกยุคทุกสมัย แม้กระทั่งปรมาจารย์การลงทุนหุ้น VI ระดับโลกอย่างวอเร็น บัฟเฟตต์ ก็ยังเคยพลาดมาแล้วหลายครั้ง ความผิดพลาดที่น่าศึกษานักลงทุนควรเรียนรู้จากความผิดพลาด มีอะไรมั้งมาอ่านกันเลย

 

1. การซื้อ Berkshire Hathaway


ห้ะ! อะไรนะ! นี้เราอ่านผิดหรือเปล่า เพราะบริษัทสิ่งทออย่าง Berkshire Hathaway คือบริษัทที่ผลักดันให้วอเร็น บัฟเฟตต์กลายเป็นมหาเศรษฐีเลยนะ แต่เดียวก่อน! เรื่องราวก่อนหน้านั้นเป็นสิ่งที่ยากลำบากมาก คนส่วนมากรู้แค่ตอนจบและรู้แบบผิวเผินเท่านั้น

แต่เดิม Berkshire Hathaway คือบริษัทสิ่งทอที่มีปัญหาและใกล้จะล้มละลาย วอเร็น บัฟเฟตต์ซื้อกิจการมาในราคาถูกแสนถูก แต่สิ่งที่ราคาถูกมักจะเต็มไปด้วยปัญหา(เพราะไม่อย่างนั้นมันคงจะไม่มีราคาที่ถูก) บัฟเฟตต์ใช้เวลากว่า 20 ปี ในการเปลี่ยนบริษัทสิ่งทอมาเป็น Holding Company ที่เต็มไปด้วยบริษัทชั้นยอด และมันก็เป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้

การลงทุนครั้งนี้บัฟเฟตต์ ได้ข้อคิดว่า อย่าซื้อมันเพียงเพราะ แค่มันมีราคาถูก ... บริษัทฟื้นตัว มีไม่บ่อยครั้งนักที่มันจะฟื้นตัวจริงๆ

 

2. การซื้อบริษัทสิ่งทอ Waumbec Mills


ในปี 1975 หลังจากที่บัฟเฟตต์ซื้อ Berkshire Hathaway มาแล้ว 13 ปี ก็ได้ซื้อบริษัท Waumbec Mills โรงงานทำสิ่งทอใน New England ที่ใกล้ล้มละลาย

บัฟเฟตต์เขียนไว้ในจดหมายผู้ถือหุ้นไว้ว่า "Waumbec Mills คือบริษัทที่มีราคาถูกมากเมื่อเทียบกับมูลค่าของบริษัท และผมก็ได้เข้าไปในอุตสาหกรรมสิ่งทออีกครั้ง หลังจากที่ผมพยายามเอา Berkshire Hathaway ออกจากอุตสาหกรรมสิ่งทอ"

บัฟเฟตต์ยอมรับว่าการเข้าซื้อบริษัท Waumbec Mills คือการลงทุนที่แย่มาก เขาให้ข้อคิดว่า ซื้อธุรกิจที่ดีในราคาที่สมเหตุสมผล ดีกว่า ซื้อธุรกิจที่แย่ในราคาที่ถูก

 

3. การลงทุนใน Tesco ห้างค้าปลีกในอังกฤษ


Berkshire Hathaway เข้าถือหุ้น Tesco ประมาณ 415 ล้านหุ้นในปี 2012 แต่พอปี 2014 บริษัทกลับมีข่าวเรื่องการรายงานตัวเลขกำไรที่เกินจริงและทำให้ราคาหุ้นร่วงลงอย่างหนัก

ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้น บัฟเฟตต์ เขียนไว้ว่า "ในฐานะนักลงทุน ผมรู้สึกอับอายเป็นอย่างมากที่จะบอกว่า ผมขาดทุนจากหุ้น Tesco และได้ขายมันนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว .. ด้วยความจริงแล้วผมทำผิดพลาดอยู่บ่อยครั้ง แต่ผมจะไม่มีทางพลาดด้วยการซื้อธุรกิจที่ชอบ เพียงเพราะราคาของมันร่วงลงมา ถ้าผมจะพลาดก็เป็นเพราะผมเข้าใจข้อเท็จจริงพลาดไปเท่านั้น"

 

4. การเข้าซื้อบริษัทผลิตรองเท้าอย่าง Dexter Shoes


ในปี 1993 บัฟเฟตต์ได้ซื้อบริษัทผู้ผลิตรองเท้า Dexter Shoes

บัฟเฟตต์ออกมายอมรับว่า "นี้คือดีลที่เลวร้ายที่สุดสำหรับผม การคิดถึงเรื่องความได้เปรียบทางการแข่งขัน ต้องคิดด้วยว่ามันยั่งยืนหรือเปล่า แต่สำหรับ Dexter Shoes มันถูกทำลายไปเพียงไม่กี่ปี"

บัฟเฟตต์ให้ข้อคิดว่า ธุรกิจที่ยอดเยี่ยมจะมีคูเมือง (moat)ที่แข็งแกร่ง และคูเมืองนั้นไม่ใช่คูเมืองที่จะถูกทำลายได้ง่ายๆ บริษัทที่มีคูเมืองที่แข็งแกร่ง จะสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับนักลงทุน

5. การเอาหุ้น Berkshire Hathaway ไปแลกหุ้น Dexter Shoes


ขยี้ได้อีก! นอกจากบริษัทจะพลาดที่ไม่มีคูเมืองแล้ว บัฟเฟตต์ยังทำผิดโดยการเอาหุ้น Berkshire Hathaway ไปแลกหุ้น Dexter Shoes

บัฟเฟตต์ยอมรับว่า เราควรเอาข้อคิดพลาดนี้ไปบันทึกไว้ใน Guinness Book of World Records เผื่อว่าคนรุ่นหลังมาอ่านแล้วจะไม่ทำเรื่องผิดพลาดแบบนี้ ...

บัฟเฟตต์เอาหุ้นเบิร์กไซด์ ฮาธาเวย์ ไปแลกมา นี้เป็นการทำร้ายผู้ถือหุ้นอย่างแท้จริง ถ้าเรากลับมาคิดถึงมูลค่าหุ้นสองหมื่นกว่าหุ้นที่แลกไป มันจะมีมูลค่าสูงถึง 3.5 พันล้านเหรียญสหรัฐในปัจจุบัน มันแย่ยิ่งกว่าจ่ายเงินซะอีก

 

6. ไม่ได้ซื้อหุ้นบริษัทสถานีโทรทัศน์ Dallas-Fort worth NBC station


หนึ่งในการลงทุนที่บัฟเฟตต์บอกว่าผิดพลาดที่ไม่ได้เข้าซื้อ คือ บริษัท Dallas-Fort worth NBC station ด้วยมูลค่า 35 ล้านเหรียญ

บัฟเฟตต์เขียนในจดหมายปี 2007 บอกว่า บริษัท Dallas-Fort worth NBC station เป็นบริษัทที่ดีและมีการเติบโต เคยมีคนมาเสนอขายให้กับเขา ตอนนั้นเขาก็รับไว้แต่ดัน "ลืม" ไปซะก่อน และไม่เคยคิดถึงบริษัทนี้อีกเลย ในภายหลังบริษัทมีกำไรก่อนหักภาษี 73 ล้านเหรียญ และมีมูลค่าประมาณ 800 ล้านเหรียญ

นี้ขนาดพลาดไป 1-2 บริษัท แต่บัฟเฟตต์ก็รวยติดอันดับโลกอยู่ดี ถ้าได้ทุกเม็ด เก็บทุกบริษัท บัฟเฟตต์อาจจะเป็นคนรวยที่สุดในจักรวาลไปแล้วก็เป็นได้

 

7. การเข้าซื้อบริษัทการบิน U.S. Air


บัฟเฟตต์เข้าซื้อ U.S. Air ในปี 1989 โดยบัฟเฟตต์มองว่าสายการบินคือธุรกิจแห่งอนาคต และคนจะนิยมเดินทางโดยเครื่องบิน แต่ข้อเสียคือธุรกิจนี้มีต้นทุนที่สูงมาก แต่เมื่อมองถึงการเติบโตแล้ว "มะนาวก็สามารถหวานได้"

อย่างไรก็ตาม บัฟเฟตต์ ขายหุ้นทิ้งออกไปได้กำไรมาบางส่วน และขาดทุนไปบางส่วน เมื่อหักลบกันแล้วก็ยังกำไรอยู่นิดหน่อย

บัฟเฟตต์ วิเคราะห์ว่า เขาคิดถูกเกี่ยวกับธุรกิจการบิน แต่ธุรกิจไม่มีความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน ใครๆก็สามารถเข้ามาทำได้ถ้ามีเงิน และลูกค้าก็ไม่มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ อุตสาหกรรมการบินแข่งขันสูงมากทางด้านราคา ทำให้ธุรกิจแถบไม่มีกำไร

 

8. ไม่ได้เข้าซื้อหุ้น Google


บัฟเฟตต์ บอกว่าเขารู้สึกเสียดายที่พอร์ตของ Berkshire Hathaway ไม่มีหุ้นชั้นเยี่ยมอย่าง google เขารู้จัก google เป็นครั้งแรกหลังจากที่เขาเห็นบิลเรียกเก็บเงินของ google ที่ส่งมายัง Geico บริษัทประกันที่ Berkshire ถือหุ้น และต้องเสียเงินให้กับ google ทุกๆ 10 เหรียญต่อการคลิ๊กหนึ่งครั้ง

บัฟเฟตต์ มองว่ามันเป็นโมเดลธุรกิจที่สุดยอดมากและคงหาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ถ้าคุณจะทำธุรกิจ คุณต้องลงโฆษณากับ google เท่านั้น มันเหมือนเป็นทางผ่านระหว่างคนเล่นอินเตอร์เน็ตกับโลกอินเตอร์เน็ต

บัฟเฟตต์ให้ข้อคิดว่า การลงทุนที่สุดยอด ไม่จำเป็นต้องซับซ้อน บางทีมันอาจจะอยู่ที่ปลายจมูกของคุณ

 

9. ไม่ได้เข้าซื้อหุ้น Amazon


ก็เหมือนกับ google คือ บัฟเฟตต์ไม่ได้เข้าซื้อหุ้น Amazon ซึ่งเขาเปิดเผยว่า ครั้งแรกที่ผมเห็นหุ้น Amazon ผมไม่เข้าใจอะไรเลยเกี่ยวกับมัน และโมเดลธุรกิจมันก็ดูซับซ้อนยากเกินกว่าจะเข้าใจ ที่สำคัญคือ ราคาหุ้นมันก็ดูเหมือนจะแพงอยู่ตลอดเวลา มันเลยทำให้ผมพลาด

โดยส่วนตัวแล้วบัฟเฟตต์ชื่นชมในตัวผู้บริหาร Jeff Bezos อย่างมาก แต่เมื่อเขาดูโมเดลธุรกิจและไม่เชื่อว่ามันประสบความสำเร็จ นั้นจึงทำให้เขาพลาดหุ้นตัวนี้ไป

---------------------
เขียนโดย : SiTh LoRd PaCk
---------------------


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง