Run Trend VS Take Profit ในภาวะตลาดหุ้น ทะลุ 1800 จุด เอายังไงดี ?
เมื่อดัชนี SET ทะยานขึ้นไปแรงกว่า 1,800 จุดแล้ว ทุบสถิติประวัติศาสตร์ของวงการตลาดหุ้นไทยที่ตั้งแต่ก่อตั้งมา ถือได้ว่าเป็นตลาดกระทิง (Bull Market) ถึงจุดตัดสินใจที่เป็นจุดวัดใจของนักลงทุนทั้งรุ่นใหม่และเก่า เมื่อไปเปิดดูพอร์ตหุ้นของตัวเองดูแล้วคงจะมีบวกเขียวกันมาบ้างแล้ว ไม่มากก็น้อย บางคนอาจบวกเป็นหลายเด้ง ก่อกำเนิดเซียนหุ้นหน้าใหม่ขึ้นมามากมาย ส่วนพอร์ตใครที่ยังแดงอยู่ ก็คงต้องปรับแนวคิดการลงทุนกันดูใหม่
คำถามสำคัญ พอร์ตเขียวแล้ว เอาไงต่อดี ขายทำกำไรไปก่อนมั้ย (Take Profit) หรือ ปล่อยให้พอร์ตเติบโตไปเรื่อย ๆ (Run Trend) ?
ขอนำแนวคิดบางส่วนจากหนังสือ 3 pass action ทางเลือกทำกำไรสายเทคนิค เข้ามาช่วยตอบคำถามนี้
ประโยคหนึ่งที่นักลงทุนมักได้ยินกันบ่อยๆ “ลงแบบไหนแล้วก็ได้ ขอแค่ได้ตังค์มันก็พอถูก” ?
แต่จะดีกว่าถ้าคุณลงทุนแล้วได้ตังค์ และที่สำคัญได้ตลอดในทุกๆ สภาวะตลาด ทำกำไรได้อย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ว่าได้บ้าง คืนบ้าง ซึ่งในมุมของเทรดเดอร์ ถ้าจะให้เถียงกันว่าควรเล่นแบบไหนจะดีไปกว่ากัน คงเป็นเรื่องยากที่จะตอบ เพราะตลาดมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ได้เหมาะที่จะเล่นสั้น / ถือ Run Trend เล่นยาว อย่างใดอย่างหนึ่งตลอดเวลา
ในบางช่วงที่ตลาดเป็นขาขึ้น และมีโครงสร้างราคาที่แข็งแกร่ง การถือ Run Trend ก็น่าจะเวิร์กกว่าการจะมาดักตีหัวเข้าบ้าน แล้วเปลี่ยนม้าเรื่อยๆ เพราะนั่นคือการกินคำใหญ่ตามแนวโน้มตลาด แต่ในบางช่วงที่ตลาดไม่เอื้อให้ Run Trend เช่น แกว่งตัวออกข้าง ซึมลง หรือตลาดไม่มี Volume การทำกำไร (Take Profit) ตามจุดกลับตัวสำคัญต่างๆ ก็อาจจะเวิร์กกว่าก็ได้ เพราะในบางไม้ที่คุณซื้อหุ้นไปแล้ว แต่ราคาไม่สามารถไปต่อได้จริงๆ คุณอาจจะต้องคืนกำไรให้ตลาดบ้าง ทั้งๆ ที่ในไม้นั้นแค่คุณตีหัวเข้าบ้าน บางทีคุณก็อาจจะได้กำไรแบบไม่ต้องลุ้นเสี่ยงถือเลยก็ได้
เปรียบเทียบข้อดีและข้อด้อย
- Run Trend ที่ถูกวิธี จึงควรมีลักษณะดังต่อไปนี้
- หุ้น / สินค้า ที่เราต้องการจะ Let’s Profit Run นั้น จะต้องเป็นช่วงที่ราคามีแนวโน้มเป็นขาขึ้น/ขาลง ที่ชัดเจน ขาลง กรณี เล่นตราสารอนุพันธ์
- แนวโน้มและโครงสร้างราคาควรจะต้องแข็งแกร่ง เพื่อลดและป้องกันการสะบัดลง แบบ Panic Sell
- Take Profit เป็นระยะๆ จึงเหมาะมากกับสถานการณ์ หรือกรณีต่อไปนี้
- การลงทุนในช่วงที่แนวโน้มของหุ้นตัวนั้นๆ ยังไม่ชัดเจนว่าจะไปในทิศทางไหน
- สำหรับคนที่มีการบริหารความเสี่ยงด้วยการแบ่งพอร์ตลงทุน เป็น 2 ประเภท ไว้ถือหุ้น Run Trend พอร์ตหนึ่ง และเก็งกำไรอีกพอร์ตหนึ่ง พอร์ตถือก็ปล่อยให้กำไร Run ไป ส่วนพอร์ตเก็งกำไรก็ออกตามเป้าราคา ตามแนวต้าน ตามแนวกลับตัว เพื่อ Keep กำไรไว้ และเป็นการบริหารความเสี่ยง (Hedging) ในตัว
- ประเภทสุดท้าย เฉพาะเทรดเดอร์ที่ลงทุนในสินค้า Futures และสินค้าอ้างอิงอย่าง Derivative Warrant (DW) ที่เน้นลงทุนไปตามแนวโน้มหลัก และเก็งกำไรระยะสั้นใน แนวโน้มรองไปพร้อมๆ กัน
ดังนั้นไม่ว่าจะ Run Trend หรือ Take Profit สิ่งสำคัญที่ต้องดูให้เป็น คือ ตลาดอยู่ในช่วงมีแนวโน้ม (Trend) หรือเป็นช่วงวิ่งอยู่ในกรอบ (Side-way) ต่อไปไปเจาะวิเคราะห์หุ้นรายตัว เพื่อดูว่าหุ้นที่ตัวเองสนใจอยู่ในช่วงที่เป็นแนวโน้มหรือแกว่งตัวออกข้าง ถ้าตลาดภาพใหญ่และหุ้นนั้นๆ มีแนวโน้มที่เป็นเทรนด์ขาขึ้น ก็สามารถจะเน้นแบบ Run Trend ไปได้ แต่ถ้าไม่มีเทรนด์ที่ชัดเจน ควรที่จะใช้กลยุทธ์แบบ Take Profit อาจจะทยอยปล่อยทีละไม้ก็ได้ หรือแบ่งขายทำกำไรบางส่วนออกไป ที่เหลือถ้าทางเทคนิคอลยังไม่หลุดแนวรับที่วางไว้ก็สามารถใช้ Run Trend มาประกอบด้วยก็ได้ ขึ้นอยู่กับแผนการเทรดที่วางเอาไว้ หัวใจหนึ่งที่สำคัญของเทรดเดอร์คือ การมีวินัยการลงทุน มีแผนการเทรดทุกครั้ง รวมถึงเรื่องการบริหารเงินลงทุน (Money Management)
หนังสือ : 3 Pass Action ทางเลือกทำกำไร สายเทคนิค
สั่งจองหนังสือคลิกได้เลย