สำเร็จแค่ 5% , ล้มเหลว 95%
ลองพิจารณาข้อมูลสถิติ จากธนาคารแห่งประเทศไทย แล้วน่าตกใจอยู่เหมือนกัน
คนทั่วไปเป็นอย่างไร? เมื่อวัยเกษียณ
.
1%. = ร่ำรวย เป็นเศรษฐี
4%. = มีเงินใช้สุขสบาย
7%. = พอช่วยเหลือตัวเองได้
40%. = ต้องพึ่งพาลูกหลาน สถานสงเคราะห์
48% = ยังคงต้องดิ้นรน ทำงานหนัก
.
สรุป สำเร็จแค่ 5% ที่เหลือ ล้มเหลว 95%
สิ่งที่ป๊าย้ำอยู่เสมอคือ...เราต้องวางแผนในระยะยาวไว้ด้วยนะครับ ถ้าหากเราเกษียณตอนอายุ 60ปี แล้วยังอยู่ต่ออีกสัก20ปี เราต้องมีเงินเก็บอีกเท่าไรเพื่อไม่ต้องพึ่งพาลูกหลาน คิดง่ายๆ ถ้าเราคิดว่าเราต้องใช้เดือนละ 10,000บาท ใช้ไปอีก20ปีโดยไม่ต้องหาเพิ่ม เราต้องมีเงินเก็บสัก 2,400,000บาท นี่ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายอื่นๆที่อาจหลงเข้ามา รถเสีย ซ่อมบ้าน เจ็บไข้ได้ป่วย ยังมีค่าใช้จ่ายที่ไม่คาดคิดอีกเยอะมากกกกกกกๆๆๆๆๆ
ลูกๆหลานๆ ต้องวางแผน เก็บออมให้เป็นนิสัย จะใช้จ่ายต้องระมัดระวัง ไม่ต้องไปสนใจ แคร์คนอื่นว่าเขาจะคิดยังไง ใช้จ่ายยังไง เราต้องยึดมั่นในหลักการของเรา เหมือนที่ป๊าเคยเล่าให้ฟัง ถ้าป๊าฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายไม่ระมัดระวังตั้งแต่เแรก ป๊าคงไม่สามารถเก็บตั้งตัวได้ แต่ก่อนที่เพื่อนๆป๊าพอออกกำลังกายเสร็จ ก็จะชอบนัดกันกินข้าวตามโรงแรมดัง ส่วนป๊าที่จริงไอ้เราก็มีเงินกินที่โรงแรมได้แหล่ะ แต่ป๊าขอกลับไปกินอาหารที่บ้านที่ภรรยาเตรียมไว้ดีกว่า บางทีก็กินเกี๊ยวนำ้หน้าบ้านแค่ 25บาท อิ่มเหมือนกัน เรายอมอดเปรี้ยวไว้กินหวาน เพราะตอนเริ่ม เราไม่มี 'ทุน' เราต้องสะสมเก็บออมเงินทุนไว้ เพื่อลงทุนในอนาคต ป๊าก็เริ่มใช้รถปิกอัพขับตอนเริ่มต้น ขับไปหลายปี ซื้อด้วยระบบผ่อนด้วย ทั้งๆที่เรามีปัญญาซื้อเงินสด แต่ความคิดเราคือ เราคิดว่าเราสามารถเอาเงินไปหมุนได้อัตราสูงกว่าที่เราจ่ายดอกเบี้ยนะ
อีกตัวอย่างนึง อย่างเมื่อเดือนที่แล้วมีการโปรโมทของรัฐบาล ให้มีการช้อปช่วยชาติ ถ้าเรายังไม่แข็งแรง ก็ไม่ต้องไปช่วยชาติ ให้คนที่แข็งแรงเขาช่วยกันไปดีกว่าไหม หรือการที่ประเทศเราส่งเสริมให้มีวันหยุดยาวบ่อยๆ ถ้าเรายังไม่แข็งแรงพอ เราก็ไม่ต้องเห่อตามคนอื่นไปเที่ยวทุกครั้งที่มีวันหยุด
มีเพื่อนป๊าหลายๆๆคนที่เกษียณ ยังมีเงินไม่มากพอ ขนาดมีบ้านที่ผ่อนไว้แล้ว พอเกษียณ ต้องแบ่งเอาเงินบางส่วน มาเป็นซ่อมบ้านกว่า 500,000บาท เดิมทีเคยอยู่แต่บ้านหลวง พอเกษียณต้องมาอยู่บ้านตัวเอง เพื่อนป๊าก็มาบ่นกับป๊า เหมือนชีวิตพึ่งเริ่มต้นเมื่ออายุ 60 เลย บางคนยังต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดอีกเลยครับ ไม่มีใครอยากเหนื่อยตอนแก่หรอก ป๊าอยากให้ทุกๆคนต้องอดทนให้ได้ตั้งแต่แรกนะครับ
สำเร็จแค่ 5% ที่เหลือ ล้มเหลว 95%
.
"....ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสำเร็จคือทางเลือก คนที่จะชนะคือเขาต้องเลือก ที่จะสร้างวินัยที่ดีจนเป็นนิสัย...."
ประโยคนี้คือความจริงที่สุด เป็นคำพูดที่ป๊าได้ยินมาแล้วมันโดนมากจริงๆ เป็นรูปธรรมชัดเจนเหมือนวิทยาศาสตร์ มันไม่มีความบังเอิญ ไม่มีการดลบันดาล เราต้องทำด้วยตัวเราเอง เหมือนกับคำกล่าวของอาจารย์ถวัลย์ ดัชนี ว่า "ผมไม่เคยเห็นอัจฉริยะคนไหน ที่อยู่ดีๆก็อัจฉริยะขึ้นมา ทุกคนล้วนต้องผ่านการฝึกฝน ถึงแม้ว่าคุณจะมีพรสวรรค์แต่ขาดการฝึกฝน มันก็ไม่มีความหมายอะไร"
ทุกๆอาชีพยังไงก็ต้องใช้ประสบการณ์
ถ้าหากคุณเรียนหมอมา กว่าคุณจะเก่งเป็นแพทย์เฉพาะทางได้ยังต้องใช้เวลามากกว่า 10 ปี
นักกีฬาชั้นนำของโลก กว่าจะได้เป็นแชมป์เขาเหล่านั้นใช้เวลาฝึกฝนไม่ต่ำกว่า 10 ปีแน่ๆ
ถ้าคุณคิดว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่เก่งให้ได้ ประสบการณ์นั่นแหล่ะครับ จะเป็นวิชาที่ดีที่สุดของคุณ
ประสบการณ์ต่างๆมันจำเป็นมาก มันช่วยให้เรามีความชำนาญ เอาตัวอย่างที่ง่ายๆสุด ป๊าชอบเดินเตะขอบเตียงเป็นประจำ แต่พอโดนเข้าบ่อยๆๆมันจะไม่โดนแล้วครับ เราจะเดินออกห่าง เพื่อไม่ยอมเจ็บตัว ถึงแม้จะปิดไฟ เราก็รู้ว่าเตียงอยู่ตรงไหนเพราะเราเคยเจ็บมาก่อนแล้ว เรามีประสบการณ์มาก่อนแล้ว
เราต้องผลักตัวเองให้ถึงขีดสุดกับความฝันเราทุกเรื่อง ออกจาก comfort zone ของตัวเอง ไปอยู่ในจุดที่เราลำบาก แล้วฝึกให้เคยชิน จนความลำบากนั้นมันกลายมาเป็นเรื่องง่ายๆอีกครั้ง นั่นแหล่ะ... เราถึงเรียกว่าเราฝึกสร้างวินัยที่ดีให้มันเป็นนิสัยแล้ว
นี่ก็ใกล้ปีใหม่เข้ามาอีกปีแล้ว ปีๆนึงผ่านไปเร็วมากจริงๆ ลองถามตัวเองว่าสิ่งที่เราตั้งใจไว้ในปีที่แล้ว เราทำมันสำเร็จหรือไม่ เราเดินมาถูกทางแล้วหรือไม่ ไม่ใช่พร่ำพูดแต่ว่า 'อยากเปลี่ยนชีวิต แต่พอตื่นขึ้นมา ก็ทำเหมือนเดิม' ครับ
อยากให้ลองอ่านประโยคนี้ช้าๆอีกรอบ คิดตามอีกรอบนะครับ
ความสำเร็จไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ความสำเร็จคือทางเลือก
คนที่จะชนะคือเขาต้องเลือก.....เลือกที่จะสร้างวินัยที่ดีจนเป็นนิสัย