ทุกวันนี้เราปฏิเสธไม่ได้ว่ากระแสรักสุขภาพจะมาแรงขนาดไหน แต่ก็ยังมีคนบางกลุ่มที่ยังชื่นชอบการสูบบุหรี่ถึงแม้เราจะรู้ว่าบุหรี่เป็นตัวทำลายสุขภาพและยังเป็นตัวเร่งให้เกิดโรคร้ายอย่าง"มะเร็ง" อีกด้วย
อย่างไรก็ตาม บทความนี้เราจะไม่พูดถึง"ความร้ายแรง" ของบุหรี่ แต่เราจะพูดถึง "ความร่ำรวย" มากเท่าไร ถ้าเราเป็นเจ้าของหุ้นบุหรี่ วันนี้เราจะมาเจาะลึกหุ้นบุหรี่ระดับโลกอย่างฟิลลิป มอรริส (Philip Morris) กันครับ
อย่างที่เรารู้กันดีว่าฟิลลิป มอรริส เป็นเจ้าของบุหรี่ที่มีชื่อเสียงระดับโลกอย่าง Marlboro และ L&M แต่นอกจาก 2 แบรนด์ข้างต้นแล้วมีน้อยคนนักที่รู้ว่าฟิลลิป มอรริส ยังเป็นเจ้าของบุหรี่อีกหลากหลายชื่อส่งขายไปทั่วโลก ว่ากันว่าบุหรี่ระดับโลกมีทั้งหมด 15 แบรนด์ และฟิลลิป มอรริส เป็นเจ้าของมากกว่า 7 แบรนด์ มีมูลค่าสูงถึง 6 พันล้านเหรียญเลยทีเดียว ตัวอย่างเช่น
- Dji Sam Soe 234 ชื่อเดิมคือ Kretek เป็นแบรนด์ท้องถิ่นของอินโดนีเซีย ภายหลังถูกซื้อไปและเปลี่ยนชื่อใหม่วางขายที่ประเทศอินโดนีเซียโดยเฉพาะ
- L&M ย่อมาจาก Liggett & Myers เป็นชื่อบริษัทและให้เกียรติผู้ก่อตั้งอย่าง John Edmund Liggett เจ้าพ่อโรงงานยาสูบในช่วงปี 1822 ซึ่งเขามีอุดมการณ์ในบุหรี่ที่เขาผลิตไว้ว่า "บุหรี่ที่ดีที่สุด มาพร้อมกับตัวกรองขั้นเทพ" ภายหลังถูกซื้อไปโดยฟิลลิป มอรริส และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น Altria Group อีกทั้งยังสร้างแบรนด์ใหม่อย่าง Chesterfield อีกด้วย
- Longbeach บุหรี่เบอร์ 1 จัดจำหน่ายในประเทศออสเตรเลียและอินโดนีเซีย
- Marlboro ผลิตขึ้นครั้งแรกในปี 1904 และเป็นแบรนด์ที่คนไทยรู้จักเป็นอย่างดี Marlboroเชื่อกันว่าเป็นบุหรี่เกรดพรีเมี่ยม อีกทั้งยังแตกแขนงออกมาอีกหลายแบรนด์อย่าง Marlboro Special, Marlboro Menthol, Marlboro Lights, Marlboro Lights Menthol, Marlboro Mix-9 Filter Kretek, Marlboro Flavor Plus, Marlboro Black Menthol
- ST Dupont Paris บุหรี่ราคาแพงโดยให้เกียรติจากชื่อผู้ก่อตั้ง Simon Tissot Dupont ผู้คิดคั้น "ไฟแช็ค" ที่มีไว้สำหรับจุดบุหรี่โดยเฉพาะ อีกทั้งเขายังทำคอลเล็คชั่นไฟแช็คราคาแพงอีกด้วย โรงงานของเขาไฟไหม้ในปี 1872 ก่อนที่จะถูกฟิลลิป มอรริส เทคโอเวอร์ไปในภายหลัง
- U Mild มีวางขายเฉพาะที่ประเทศอินโดนีเซียเท่านั้น
ในธุรกิจบุหรี่ มี 4 กลุ่มใหญ่ที่เรียกกันว่า "The big four" ของกลุ่มบุหรี่ด้วยเช่นกัน ซึ่ง 4 บริษัทกินส่วนแบ่งการตลาดมากถึง 41% จากนักสูบทั่วโลก มีกำลังการผลิตมากถึง 2.4 ล้านล้านมวนจากทั้งหมด 5.8 ล้านล้านมวน
อันดับ 1 คือ Philip Morris มีกำลังการผลิต 8.8 แสนล้านมวน กินส่วนแบ่งการตลาด 25%
อันดับ 2 คือ British American Tobaco มีกำลังการผลิต 6.67 แสนล้านมวน กินส่วนแบ่งการตลาด 19%
อันดับ 3 คือ Japan Tobacco International มีกำลังการผลิต 4.36 แสนล้านมวน กินส่วนแบ่งการตลาด 14%
อันดับ 4 คือ Imperial Tobacco Group plc. มีกำลังการผลิต 2.94 แสนล้านมวน กินส่วนแบ่งการตลาด 7%
จากงบการเงินย้อนหลังของ Philip Morris International Inc. อัตรากำไรขั้นต้นสุงมากยยู่ที่ 64-70%
ปี 2012 บริษัทมียอดขาย 3.11 หมื่นล้านเหรียญ และกำไรขั้นต้น 2.09 หมื่นล้านเหรียญ อัตรากำไรขั้นต้น 64%
ปี 2013 บริษัทมียอดขาย 3.09 หมื่นล้านเหรียญ และกำไรขั้นต้น 2.04 หมื่นล้านเหรียญ อัตรากำไรขั้นต้น 66%
ปี 2014 บริษัทมียอดขาย 2.96 หมื่นล้านเหรียญ และกำไรขั้นต้น 1.91 หมื่นล้านเหรียญ อัตรากำไรขั้นต้น 71%
ปี 2015 บริษัทมียอดขาย 2.66 หมื่นล้านเหรียญ และกำไรขั้นต้น 1.72 หมื่นล้านเหรียญ อัตรากำไรขั้นต้น 64%
ปี 2016 บริษัทมียอดขาย 2.67 หมื่นล้านเหรียญ และกำไรขั้นต้น 1.72 หมื่นล้านเหรียญ อัตรากำไรขั้นต้น 64%
เราลองมาดู กำไรสุทธิ กันบ้างครับ จะได้รู้ว่าอัตรากำไรสุทธิเป็นเท่าไร
ปี 2012 มีกำไรสุทธิ 8.75 พันล้านเหรียญ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 28.13%
ปี 2013 มีกำไรสุทธิ 8.53 พันล้านเหรียญ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 27.60%
ปี 2014 มีกำไรสุทธิ 7.46 พันล้านเหรียญ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 25.2%
ปี 2015 มีกำไรสุทธิ 6.85 พันล้านเหรียญ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 25.7%
ปี 2016 มีกำไรสุทธิ 6.95 พันล้านเหรียญ คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 26%
จะเห็นได้ว่ายอดขายของบริษัทลดลงเรื่อยๆ คนอาจจะหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น สูบกันน้อยลง อย่างไรก็ตามมีน้อยบริษัทนักที่ยอดขายลดลง แต่ยังรักษาอัตรากำไรขั้นตั้น (Gross Margin) และอัตรากำไรสุทธิ (Net Margin) อยู่ในระดับสูงอยู่ได้ เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อยอดขายลดลง บริษัทไม่สามารถคุมรายจ่ายส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิลดลงเรื่อยๆ
อัตราส่วนทางการเงินสำคัญ P/E อยู่ที่ 22.9 เท่า ไม่แพงไม่ถูก ROA 19.63 เท่า ROI ที่ 55 เท่า ถือว่าสูงมาก และอัตราปันผลเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4%
จากราคาหุ้นเริ่มต้นตอนปี 2008 เทรดกันที่ 50 เหรียญ ปัจจุบันปี 2017 อยู่ที่ 102 เหรียญ ถ้านักลงทุนเป็นคนที่ซื้อแล้วถือมาจนถึงปัจจุบันจะคิดเป็นผลตอบแทนประมาณ 100% ถือยาวนานถึง 10 ปี คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 10% โดยไม่นับปันผล ถ้ารวมกับปันผลที่ 4% นักลงทุนจะได้ผลตอบแทนปีละ 14-15% โดยเฉลี่ยครับ
ขอบคุณแหล่งข้อมูล
https://www.marketwatch.com/investing/stock/pm/profile
https://en.wikipedia.org/wiki/Philip_Morris_International
https://finance.yahoo.com/quote/PM/
http://blogs.bmj.com/bmj/2015/04/23/the-bmj-today-elders-teens-and-tobacco-in-the-modern-era/