3 Cryptocurrency ที่น่าติดตามไม่แพ้ Bitcoin
ตั้งแต่ Bitcoin ทำราคาทะลุ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ไปเมื่ออาทิตย์ก่อน คงไม่มีใครในโลกลงทุนที่ไม่รู้จักเงินสกุลดิจิทัลหรือ “cryptocurrency” แล้ว ขณะนี้ market capitalization ในตลาด cryptocurrency อยู่ที่เฉียดๆ 170 พันล้านดอลลาร์ หรือประมาณครึ่งหนึ่งของ market capitalization ของ SET50! โดยมีเงินสกุลดิจิทัลพันธุ์ใหม่ๆ เกิดแก่เจ็บตายกันเป็นว่าเล่น
บทความนี้จะพาท่านผู้อ่านไปทำความรู้จักกับ 3 สกุลเงินดิจิทัลที่ถึงแม้จะยังไม่โด่งดังเท่า Bitcoin หรือ Ethereum (สองสกุลที่ครองกว่า 70% ของตลาด cryptocurrency) แต่ผู้เขียนคิดว่ามีอุดมการณ์เบื้องหลังที่น่าติดตามและมีโอกาสขึ้นมาสร้างบทบาทมากขึ้นในอนาคตครับ
1. Ripple (XRP)
Ripple ที่จริงแล้วไม่ใช่ชื่อสกุลเงินดิจิทัลแต่เป็นชื่อของระบบเครือข่ายการชำระเงินทั่วโลกแบบ “crypto” ที่ช่วยอำนวยให้การชำระเงิน แลกเปลี่ยนหรือส่งสินทรัพย์ไม่ว่าจะจากที่ใดในโลก เกิดขึ้นได้อย่างไร้แรงเสียดทานและรวดเร็วที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการชำระเงินระหว่างธนาคารทั่วโลก การส่งเงินต่างสกุลให้ญาติที่อยู่ต่างแดน
พูดง่ายๆ ก็คือ Ripple เป็นตัวกลางที่คอยเสาะหาช่องทางที่มีต้นทุนต่ำที่สุดสำหรับการทำธุรกรรมทุกประเภท
สองจุดที่ Ripple สามารถเข้ามาเขย่าวงการได้มากที่สุดคือ 1. การทำ settlement ระหว่างธนาคาร 2.การแลกเปลี่ยนเงินตราระหว่างประเทศ
ทั้งสองจุดนี้หลายคนคงทราบดีว่าเข้าจุดอิ่มตัวมานานหลายสิบปี มีกระบวนการที่หลายต่อ และมีพ่อค้าคนกลางหลายคน การทำ settlement ระหว่างธนาคารนั้นมักใช้เทคโนโลยียุคก่อนอินเตอร์เน็ต นั่นก็คือระบบ SWIFT ซึ่งไม่เสร็จสิ้นทันทีและมีค่าธรรมเนียมสูง การแลกเงินไปสกุลต่างประเทศลูกค้าก็มักถูกธนาคารเก็บส่วนต่างไปไม่ใช่น้อยโดยเฉพาะหากต้องการแลกซื้อเงินสกุลที่ exotic มากๆ
กลับกัน ผู้ใช้งาน Ripple ที่ชื่อนายแดงสามารถส่งสินทรัพย์ไปยังบัญชีของผู้ใช้ชื่อนายดำได้แบบทันที ไม่มี counterpart risk และมีค่าใช้จ่ายไม่สูง
ส่วนตัวสกุลเงิน XRP นั้น นอกจากจะทำตัวเป็นราคาของทุกสินทรัพย์ในระบบ Ripple เผื่อว่าไม่มีผู้ซื้อผู้ขายที่มีความต้องการเดียวกันพร้อมกันแล้ว ยังทำตัวเป็นเหมือนตัวหล่อลื่นระบบ Ripple ด้วย โดยทุกๆ ธุรกรรมจะมีต้นทุนขนาดย่อมเป็นสกุล XRP และต้นทุนนี้ไม่มีใครเก็บไป แต่จะถูกทำลายแทน ทั้งหมดนี้เพื่อให้ไม่เกิดการ Spam ระบบขึ้น
สำหรับผู้เขียนเอง ประเด็นที่น่าสนใจที่สุดก็คือ Ripple มีจุดขายที่แทบจะตรงกันข้ามกับ Bitcoin ในขณะที่ Bitcoin ต้องการปิดบังความเป็นตัวตนของผู้ใช้ เกลียดชังการสุงสิงกับสถาบันการเงิน และยังมีข้อจำกัดมากในการทำธุรกรรมขนาดใหญ่ Ripple ฉีกแนว เน้นให้การใช้งานมีหลักฐานที่มาที่ไปเกี่ยวกับผู้ใช้ครบถ้วน จึงเป็นการลงรอยกับกฎหมายในหลายประเทศมากกว่า และพยายามที่จะเจาะตลาดที่มีอยู่แล้วโดยใช้ประโยชน์จากความน่าเชื่อถือที่เหล่าสถาบันการเงินสร้างมากับมือเป็นเวลานาน
2. ZeroCash
Bitcoin เคยมีจุดขายหนึ่งคือความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน แต่ปัญหาคือ มันมีความเป็นส่วนตัวแค่ไหนเชียว? โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่นักวิจัยกลุ่มหนึ่งสามารถวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมที่ถูกบันทึกใน ledger ที่ทุกคนมองเห็นแล้วสืบพร้อมกับ FBI กลับไปจับตัวผู้ใช้งานรายหนึ่งที่ทำการค้ายาเถื่อนได้
นั่นก็คือถ้าถามว่า Bitcoin หรือการนัดพบเพื่อจ่ายเป็นเงินสดแบบซึ่งๆหน้า อันไหนมีความเป็นส่วนตัวมากกว่ากัน คิดดูดีๆแล้วธุรกรรมที่ใช้เงินสดก็ยังปกปิดความเป็นตัวตนได้มากกว่าอยู่ดี
ZeroCash คือสกุลเงินดิจิทัลที่ต้องการตอบโจทย์ของการปกปิดตัวตนของผู้ใช้อย่างสมบูรณ์ โดยมีหลักการคร่าวๆ คือผู้ใช้สามารถทำธุรกรรมได้โดยการเอาเงินไปแลกกับใบเสร็จนิรนาม แล้วใช้ใบเสร็จนั้นทำธุรกรรม สิ่งที่จะปรากฏอยู่ให้ทุกคนเห็นในภายหลังคือใบเสร็จไหนทำธุรกรรมอะไรไป แต่ไม่สามารถสืบกลับไปถึงต้นน้ำได้ว่าผู้ใช้ ZeroCash ที่ทำการสุ่มใบเสร็จนี้คือใคร
3. Dash
ณ เวลานี้ไม่มีเงินสกุลดิจิทัลน้องใหม่ไหนร้อนแรงเท่า Dash อีกแล้ว ภายในช่วงเวลาแค่สามปีสามารถครองตลาดเงินดิจิทัลได้เป็นถึงอันดับ 3 รองจาก Bitcoin และ Ethereum
Dash คือ เงินสดดิจิทัล (Cash ที่สะกดด้วยตัว D) ที่ตั้งใจตีตลาด mass และต้องการให้คนใช้กันอย่างแพร่หลายและใช้ได้ง่ายๆ เหมือนที่คนใช้ Paypal กันอย่างทุกวันนี้
ประมาณว่าคุณไม่ต้องเข้าใจเลยว่า Paypal มีเทคโนโลยีอะไรอยู่เบื้องหลังคุณก็ยังใช้มันอย่างเลื่อมใส Dash ก็ต้องการให้การใช้เงิน cryptocurrency ง่าย ปลอดภัยและเปฺ็นมิตรต่อผู้ใช้งานเช่นเดียวกัน
หากให้สรุปแบบคร่าวๆ Dash ก็คือ Bitcoin ที่มีโอกาสรุ่งในฐานะ “เงิน” ที่เป็น Medium of exchange มากกว่า Bitcoin
ที่ Bitcoin สอบตกในฐานะ “เงิน” เมื่อเทียบกับ Dash นั้น เหตุผลแรกคือเดี๋ยวนี้ต้นทุนในการทำธุรกรรม Bitcoin เริ่มสูงขึ้นจนไม่คุ้มธุรกรรมเล็กๆน้อยๆ เช่นการซื้อน้ำซื้ออาหารแล้ว อีกทั้งหากจะประหยัดค่าธรรมเนียมก็อาจต้องรอเป็นวันกว่าธุรกรรมจะเสร็จสิ้น Dash สามารถทำ micropayment ที่สะดวกว่องไว มีบริการธุรกรรมที่้เสร็จสิ้นได้ทันที และมีต้นทุนต่ำกว่า Dash จึงชนะไปในจุดนี้
เหตุผลที่สองคือ Dash มีสังคม และ ownership structure ที่ไม่น่ากระวนกระวายใจเท่ากับในกรณีของ Bitcoin ที่เต็มไปด้วยความแตกแยก ซึ่งนอกจากจะสร้างความไม่แน่นอนในอนาคตของมันแล้วยังทำให้ระบบพัฒนาหรือแก้ไขข้อบกพร่องได้ช้ากว่า Dash มาก
นอกจากนี้ Dash ยังมีตำแหน่ง “ผู้ถือหุ้นรายใหญ่” ที่เรียกกันว่า masternodes ซึ่งเป็นกลุ่มผู้มีสิทธิ์ออกเสียงในการตัดสินใจความเป็นไปของ Dash ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของ Scalability หรือแม้กระทั่งการจะจ้าง Developer มือดีคนไหนมาพัฒนาระบบต่อไป ซึ่งตำแหน่ง masternodes นี้ซื้อได้ที่ราคา 1000 Dash
ในขณะที่สังคม Bitcoin เต็มไปด้วยปมการเมือง สังคม Dash เชื่อว่า คนส่วนมากอยาก “ใช้เงินให้เป็นเงิน” เหมือนที่เราถือเงินบาทในกระเป๋าสตางค์ ไม่ได้ต้องการลุ้นดราม่าว่าเงินที่ตนถืออยู่จะกลายพันธุ์ไปเป็นอะไรที่ไม่พึงประสงค์ไหม หลังจากที่ใครก็ไม่รู้ออกเสียงกันพรุ่งนี้ และไม่แคร์ว่าตนจะต้องออกเสียงอย่างไรในการประชุมรอบต่อไป ปล่อยให้ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่มีแรงจูงใจมากที่สุดเป็นผู้ตัดสินใจไปดีกว่า
หวังว่าบทความนี้จะทำให้ผู้อ่านเห็นภาพอนาคตของระบบนิเวศเงินดิจิทัลชัดขึ้นนะครับ ในความเห็นส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนคิดว่าจะมีเงินสกุลใหม่ๆ ที่ออกมาตอบโจทย์ niche แบบทั้งสามสกุลนี้เพิ่มขึ้น และจะน่าติดตามมากว่าจุดยืนของ Bitcoin จะกลายไปเป็นอะไรเมื่อจุดแข็งในอดีตของมัน กำลังถูกแซงไปทีละจุดอย่างรวดเร็วโดยเงินสกุลน้องใหม่เหล่านี้