Rakesh Jhunjhunwala เป็นมหาเศรษฐีอินเดียผู้มีความมั่งคั่งสูงถึง 2.8 พันล้านดอลล่าร์
ตามรายงานของ Forbes จะพบว่าชายผู้นี้รวยเป็นอันดับที่ 54 ในอินเดีย และเป็นอันดับที่ 939 ของโลก
Rakesh สามารถมั่งคั่งขึ้นมาได้ถึงระดับนี้จากการลงทุนในหุ้นเพียงเท่านั้น โดยเขาได้เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นเมื่อปี 1985 ซึ่งในขณะนั้นมีดัชนีอยู่ราวๆ 150 จุด ในขณะที่ปัจจุบันนั้นดัชนีตลาดหุ้นอินเดียไปไกลถึงกว่า 31,000 จุด และ ต่อไปนี้ก็คือกฏการลงทุน 12 ข้อของเขาสำหรับการหาหุ้นเด้ง
1. อย่าพยายามมองหาหุ้นเด้ง
เราไม่ควรกำหนดตายตัวเลยว่าจะลงทุนแค่หุ้นเด้งเท่านั้น แต่ให้เราย้อนกลับไปใช้วิธีเดิมๆที่ Benjamin Graham, Peter Lynch, Warren Buffett ได้สอนเรามา นั้นก็คือถ้าเราลงทุนในบริษัทที่พื้นฐานดีและดูมีโอกาสดีในการเติบโต เมื่อเวลาผ่านพอร์ทของเราก็จะสามารถเติบโตเป็นเด้งได้
2. อย่ามองแต่กำไร ให้มองที่มาของกำไร
นักลงทุนส่วนมากมักที่จะดูเพียงยอดขายและกำไรรายไตรมาสระยะสั้นๆเพียงเท่านั้น มันทำให้เราหลุดจากการมองภาพใหญ่ เราควรจะดูที่มาของกำไรและมองหาปัจจัยที่จะสร้างโอกาสให้บริษัทสามารถสร้างกำไรเติบโตได้ในระยะกลางถึงระยะยาวแทน
3. ให้ลืมคำว่า Big cap. หรือ Small cap. ไปเลย แต่ให้หาบริษัทที่สามารถขยายการดำเนินงานได้
ไม่ต้องสนใจว่าหุ้นขนาดเล็ก ขนาดกลาง หรือขนาดใหญ่ จะดีกว่ากัน แต่ให้มองไปที่มูลค่าของมัน ไม่ว่าหุ้นจะขนาดใหญ่หรือเล็ก หากมันมีมูลค่าที่ดีก็ซื้อ แต่อย่างไรก็ตามหุ้นขนาดเล็กถึงกลางก็มีโอกาสที่ดีกว่า เพราะการประเมิณมูลค่าอาจจะถูกกว่าและสามารถขยายได้เร็ว
4. อดทนและให้เวลากับมัน
ให้เวลาในการเติบโตของการลงทุนของเรา และอดทนรอให้คนอื่นมาค้นพบขุมทรัพย์ของเรา จงจำไว้เสมอว่าเราไม่ได้ซื้อหุ้นที่ราคาขึ้นๆลงๆตลอดเวลา เท่านั้น หากเราจะซื้อหุ้น ธุรกิจนั้นจะต้องมีคุณภาพมากๆ และมีความสามารถในการเติบโตเมื่อเวลาผ่านไป เมื่อเราทำการบ้านตรงนี้เรียบร้อยแล้ว เราก็จะต้องรอให้ตลาดทำงานและสร้างผลตอบแทนให้กับเรา
5. อย่าสนใจกับการเปลี่ยนแปลงระยะสั้น
เราไม่ควรกังวลกับระยะสั้นมากเกินไปเช่นผลประกอบการรายไตรมาส หากมีไตรมาสหนึ่งที่ไม่ดีก็ไม่จำเป็นต้องหงุดหงิด แต่ให้มองไปว่าผลประกอบการรายไตรมาสมีแนวโน้มอะไรบ้างหรือเปล่า ถ้าตลาดตกใจขายหากมีผลประกอบการไตรมาสออกมาไม่ดี มันอาจจะเป็นโอกาสที่เราจะเข้าไป
6. จงลงทุนในบริษัทที่เรามีความเข้าใจ
เราเข้าใจธุรกิจมากพอหรือเปล่าที่จะสามารถคาดการณ์ได้ว่าอีก 10 - 20 ปีข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น บริษัทส่งสินค้าเราสามารถเข้าใจได้ว่าในอนาคตก็ยังส่งสินค้าอยู่ แต่สำหรับบริษัทเทคโนโลยีต่างๆที่ดีเยี่ยมในวันนี้ แต่เพียงแค่ 5 ปีก็อาจจะล่าสมัยไปแล้ว
7. อย่ากังวลกับปัจจัยที่เราไม่สามารถรู้ได้
ปัจจัยมหภาค เช่น ดุลการคลัง เงินเฟ้อ หรืออื่นๆ นั้นเราไม่สามารถรู้ได้ หรือต่อให้รู้ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ เราควรจะโฟกัสไปกับสิ่งที่เราสามารถรู้และควรจะรู้ นั้นก็คือบริษัทที่เราลงทุน
8. อย่าพยายามที่จะจับจังหวะตลาด
เราไม่ต้องพยายามที่จะจับจังหวะตลาดเพราะเราไม่มีทางรู้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหน แต่หากเราพบบริษัทที่ถูกเมื่อเทียบกับมูลค่าและอนาคตของมันก็ซื้อได้เลย สิ่งที่เราจะต้องถูกคือการเลือกบริษัท ถ้าเราเลือกได้ถูกต้องแล้วที่เหลือจะตามมาเอง
9. ถ้ามันถูกก็ซื้อ อย่าปล่อยให้มันผ่านไปโดยหวังว่ามันจะถูกลงไปได้อีก
ถ้าเราเจอโอกาสแล้วก็อย่าให้มันหลุดลอยไป โอกาสที่งามหลายๆครั้ง เราก็ชอบที่จะรอและท้ายที่สุดเราก็ปล่อยให้มันหลุดมือไป สิ่งที่สำคัญคือเราต้องรู้ว่าโอกาสคืออะไรและจากนั้นก็จะต้องลงมือ จงระวังกับดักการมองหาข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อตรวจสอบความคิดของเรา
10. อย่าซื้อหุ้นที่มีรายได้คงที่
ไม่มีเหตุผลในการซื้อบริษัทเช่นผู้ผลิตไฟฟ้าที่ไม่สามารถมีกำไรสูงเกินกว่าที่ทางการกำหนดไว้ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่าเราไม่ควรสะสมบริษัทประเภทนี้ไว้ในพอร์ตเลย เพราะอย่างน้อยบริษัทเหล่านี้ก็ยังเป็นหุ้นประเภทตั้งรับที่ดีเยี่ยมเนื่องจากมีรายได้ที่ค่อนข้างแน่นอน
11. ปล่อยให้หุ้นผู้ชนะวิ่งไปเรื่อยๆ
เมื่อไหร่จะถึงเวลาขายหุ้นเด้งออกไป? คำตอบคือไม่มีวัน เราไม่ควรจะขายหุ้นเพราะเพียงแค่อยากจะขาย เราไม่ควรคิดว่าหุ้น 10 เด้งในวันนี้จะไม่สามารถกลายเป็น 20 เด้งได้ในอนาคต แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีวันขายเลย มีอยู่ 2 สถานการณ์ที่เราควรจะพิจารณาขาย ข้อแรกคือเมื่อพบโอกาสที่ดีกว่าและไม่มีเงินสดแล้ว ข้อสองคือเมื่อตลาดไร้เหตุผลมากจนทำให้ PE ของตลาดมันสูงเกินไป
12. ลงทุนแบบมุ่งเน้น
อย่ากลัวที่จะลงทุนแบบมุ่งเน้น แต่การลงทุนนั้นก็จะต้องมีความเข้าใจดีมากๆเสียก่อน มิฉะนั้นแล้วมันอาจจะนำหายนะมาแทนได้ ถึงแม้ว่าการลงทุนแบบมุ่งเน้นจะดีแต่ก็ห้ามลืมว่ามันก็มีความเสี่ยง เพราะฉะนั้นจึงต้องคอยระวังอยู่เสมอ
.jpg)