ระดับชีวิตความเป็นอยู่ของคนเรานั้น ส่วนใหญ่แล้วก็ขึ้นอยู่กับความมั่งคั่งและตำแหน่งหน้าที่การงานของคน ๆ นั้น ยิ่งรวยมากเท่าไรหรือหน้าที่การงานสูงมากเท่าไร ชีวิตความเป็นอยู่ก็มักจะหรูหราเพิ่มขึ้นเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ความหรูหราฟุ่มเฟือยนั้น เมื่อสูงขึ้นถึงจุดหนึ่งก็จะหยุด ความพึงพอใจของเจ้าตัวก็จะหันไปสู่เรื่องอื่นที่เงินทองและอำนาจไม่อาจจะให้ได้ ตัวอย่างเช่นการเป็นที่ยอมรับและชื่นชมจากคนทั่วไป เป็นต้น

ที่กล่าวนั้นก็เป็นกรณีทั่วไป ข้อยกเว้นก็คือ คนรวยบางคนก็อาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตที่หรูมากนักเมื่อเทียบกับความมั่งคั่งของเขา เขาอาจจะ “ไม่จำเป็น” ที่จะต้องแสดงออกถึง “ความร่ำรวย” เพื่อเกื้อหนุนธุรกิจเพื่อที่จะ “ต่อความร่ำรวย” ขึ้นไปอีก
เหตุผลข้อนี้ก็เป็นเพราะสังคมและธุรกิจนั้นมักอยากที่จะเกี่ยวข้องหรือทำธุรกิจกับ “คนรวย” คนที่ดู “ซอมซ่อ” หรือไม่รวยนั้น คนรวยหรือคนในแวดวงธุรกิจส่วนใหญ่แล้วก็จะไม่อยากคบค้าหรือทำธุรกิจด้วย ดังนั้น คุณจำเป็นต้อง “ดูรวย” ซึ่งก็ต้องใช้ชีวิตที่หรูหรา
อีกเหตุผลหนึ่งที่คนรวยบางคนอาจจะไม่ได้ใช้ชีวิตที่หรูหรานั้นอาจจะเป็นเพราะ “เขาไม่อยากใช้ชีวิตแบบนั้น” กรณีแบบนี้มักจะเกิดขึ้นกับคนที่ไม่ได้เกิดมารวยและต้องใช้เวลาสร้างฐานะยาวนาน พวกเขาจำนวนไม่น้อย “ชิน” ที่จะต้องประหยัดอดออมเพื่อนำเงินมาสร้างความมั่งคั่ง เมื่อร่ำรวยแล้วเขาจึงยังใช้ชีวิตคล้าย ๆ ของเดิมที่เขารู้สึกว่ามีความสุขเพียงพออยู่แล้ว
ความหรูหราไม่ได้เพิ่มความสุขขึ้นเท่าไรนัก งานที่สร้างฐานะและเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาต่างหากที่ทำให้เขามีความสุข การเป็นที่ยอมรับและชื่นชมจากสังคมต่างหากที่เป็นความสุข พวกเขา “ข้ามขั้นตอน” ของการใช้ชีวิตที่หรูหราซึ่งสำหรับเขาแล้วไม่ใช่ความสุขไป
คนที่มั่งคั่งและร่ำรวยจากการเป็น “นักลงทุนแบบ VI” นั้น มีโอกาสและหลายคนอาจจะเลือกที่จะใช้ชีวิตแบบธรรมดาไม่หรูหราทั้ง ๆ ที่มีเงินมหาศาลได้ เหตุผลก็อย่างที่กล่าวคือเขาไม่จำเป็นต้องแสดงออกถึงความร่ำรวยก็ยังสามารถลงทุนทำเงินได้ เพราะการลงทุนโดยเฉพาะแบบ VI นั้น ไม่ต้องการอะไรทั้งสิ้นนอกจากความคิดและการตัดสินใจที่ถูกต้อง
เหตุผลอีกอย่างก็คือ “VI พันธุ์แท้” นั้น มักจะคิดและใช้ชีวิตแบบ “VI” ที่มอง “คุณค่า” หรือความสุขที่จะได้จากการจ่ายเงินซื้อสินค้าหรือบริการนั้น ดังนั้น เขาไม่ใช้จ่ายมากเพื่อความหรูหราแต่ประโยชน์ใช้สอยไม่ได้แตกต่างกัน เหนือสิ่งอื่นใดก็คือ พวกเขามักจะ “ชิน” กับการประหยัดเพื่อนำเงินมาลงทุนมากที่สุดในช่วงที่ยังไม่รวย
วอเร็น บัฟเฟตต์ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของการใช้ชีวิตที่ต่ำกว่ามาตรฐานของความมั่งคั่งของเขา และต่อไปนี้คือตัวอย่างที่อาจจะเป็นบทเรียนให้ VI พันธุ์แท้ทั้งหลายนำมาประยุกต์ใช้ มันเป็นแบบฉบับของการใช้ชีวิตที่ “ไม่น่าเชื่อ” สำหรับคนที่มีความมั่งคั่งล่าสุดถึง 75 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.5 ล้านล้านบาท
.jpg)
Cr. Bornrich
เรื่องแรกก็คือ เขาก็ยังอยู่ในบ้านเดิมตั้งแต่ปี 1958 หรือประมาณ 50 ปีมาแล้วที่เขาซื้อมาในราคา 31,500 เหรียญ หรือถ้าเทียบในวันนี้ก็อาจจะมีราคาประมาณ 270,000 เหรียญ หรือไม่เกิน 10 ล้านบาทไทย
สอง เขายังกินอาหารแบบเดิม ๆ ทุกวัน โดยที่อาหารเช้าก็มักจะเป็นแซนด์วิชราคาไม่เกิน 3-4 เหรียญจากร้านแม็คโดนัลด์ที่เขาจะแวะจอดรถซื้อระหว่างทางไปทำงาน ในระหว่างวันเขาก็มักจะดื่มโค๊กวันละหลายกระป๋อง เช่นเดียวกัน อาหารกลางวันก็มักจะเป็นอาหารง่าย ๆ รวมถึงอาหารจานด่วนหรือไม่ก็ร้านในท้องถิ่นที่เขามักกินประจำ ตกเย็นเขามักขับรถกลับบ้านไม่ได้มีรายการสังสรรค์ดินเนอร์หรือประชุมต่อ ตอนค่ำเขามักทำข้าวโพดกินเองในขณะที่ดูรายการทีวีหรือทำงานอดิเรก
.jpg)
Cr. 2il.org
สาม รถยนต์ที่บัฟเฟตต์ใช้นั้นจะเป็นรถเก่าน่าจะเกิน 5 ปีขึ้นไปเป็นหลัก เพราะเขาบอกว่าปีหนึ่งเขาใช้แค่ประมาณ 3,500 ไมล์ ดังนั้น เขาจะซื้อรถใหม่น้อยมาก และเมื่อจะซื้อก็เป็น “รถมหาชน” ราคาถูกที่มักจะซื้อตอนลดราคา
งานอดิเรกของบัฟเฟตต์เองนั้น มีราคาถูกมาก เขาไม่ได้จ่ายเงินเป็นสมาชิกคลับราคาแพง งานอดิเรกยอดนิยมของเขาก็คือการเล่นบริดจ์ที่เขา “ติด” มาก เล่นได้ทีละหลาย ๆ ชั่วโมง เขาเคยพูดเล่น ๆ ว่าเขาจะไม่เดือดร้อนเลยที่จะติดคุกถ้าในคุกมีขาบริดจ์ที่ถูกใจซัก 3 คน ในระยะหลังที่มีอินเตอร์เน็ตแพร่หลาย เขาก็เล่นบริดจ์กับเพื่อนผ่านอินเตอร์เน็ต
ห้า พูดถึงการสังคมกับเพื่อนฝูงโดยเฉพาะที่สนิทสนมกัน บัฟเฟตต์ดูแลเพื่อนดีแต่ก็ไม่หรูหราฟู่ฟ่า ตัวอย่างเช่น ถ้าบิลเกตมาเยี่ยม เขาก็มักจะขับรถไปรับถึงสนามบินเอง เขาค่อนข้างจะคบหาและคุยกับเพื่อนที่รู้ใจบ่อย ๆ เขาให้ความสำคัญกับ “มิตรภาพ” สูงมาก
หก บัฟเฟตต์นั้นมีชื่อว่าเป็นคน “โลว์เท็ค” ไม่ใช้เครื่องมือสื่อสารราคาแพง ไอโฟนรุ่นใหม่ราคาแพงนั้นไม่ได้กินเงินเขา ในปี 2013 มีนักข่าว CNN สัมภาษณ์เขาและขอดูโทรศัพท์มือถือซึ่งมันยังเป็นโทรศัพท์โนเกียรุ่นพับได้ซึ่งเขา “ปล่อยมุก” ว่ามันเป็นของขวัญจาก อาเล็กซานเดอร์เกรแฮมเบลล์ ผู้คิดค้นและประดิษฐ์โทรศัพท์เครื่องแรกของโลก
เจ็ด บัฟเฟตต์ไม่ได้สวมสูทจากดีไซเนอร์ชื่อดัง กระเป๋าสตางค์สีดำของเขานั้นใช้มา 20 ปี แต่เขาเคยพูดเล่นว่าเสื้อผ้าที่เขาสวมใส่นั้นไม่ใช่ของถูก เพียงแต่ว่าเวลาที่เขาใส่นั้นมันดูไม่ค่อยดีเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ในปี 2017 บัฟเฟตต์ให้สัมภาษณ์ CNN ว่าเขาใช้สูทตัดของ Madame Li ร้านตัดเสื้อของจีนเป็นประจำและก็ได้เสื้อที่ดีมาใช้ฟรีเป็นอภินันทนาการ
.jpg)
Cr. Reddit
แปด ที่แทบจะไม่น่าเชื่อก็คือ บัฟเฟตต์ยังใช้คูปองลดราคาสินค้า เช่น ครั้งหนึ่งที่ไปเที่ยวกัน บิลเกตบอกว่าบัฟเฟตต์ควักคูปองลดราคาอาหารแม็คโดนัลด์ออกมาใช้ ซึ่งบิลเกตยังได้โชว์หลักฐานภาพถ่ายให้นักข่าวดูด้วย
เก้า นอกจากชีวิตส่วนตัวแล้ว ในเรื่องของธุรกิจเอง บัฟเฟตต์ก็ประหยัดและเน้นเรื่องของประสิทธิภาพมาก สำนักงานใหญ่ของเบิร์กไชน์นั้น ยังอยู่ที่เดิมที่คีวิทพลาซ่ามา 50 ปีแล้ว และทุกวันนี้ก็ยังใช้พนักงานเท่าเดิมคือ 25 คนทั้ง ๆ ที่ธุรกิจโตขึ้นเป็นพัน ๆ เท่าและใหญ่เป็น 10 อันดับแรกของอเมริกา
สุดท้าย บัฟเฟตต์ เป็นคนที่ให้คุณค่ากับเพื่อนและความสัมพันธ์เหนือวัตถุ เขาเคยพูดกับนักศึกษาบริหารธุรกิจว่าเราไม่สามารถซื้อสุขภาพและความรักได้ นอกจากเพื่อนสนิทที่เขามีหลายคนแล้ว เขาเป็นคนที่เน้นครอบครัวมาก ลูกสาวบัฟเฟตต์เคยให้สัมภาษณ์ว่า บัฟเฟตต์คุ้นเคยและรู้รายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตหลาน ๆ ของเขาซึ่งมีจำนวนมากทุกคน
ถ้าจะว่าไป มีมหาเศรษฐีอีกหลายคนที่ใช้ชีวิตต่ำกว่าความมั่งคั่งของพวกเขา ในสังคมไทยอาจจะมีน้อยและดูเป็นเรื่องแปลก เหตุผลก็คงเป็นเพราะเราเป็นสังคมที่เน้น “หน้าตา” มากกว่าอีกหลาย ๆ ประเทศ อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าอนาคตเราก็คงจะปรับตัวคล้ายกับประเทศอื่นโดยเฉพาะที่เป็นเศรษฐกิจที่ก้าวหน้ากว่ามากขึ้น
(2)(1)(1)(1)(2)(3)(2).jpg)
ก่อนจะจบผมคงต้องบอกว่า การใช้จ่ายมากตามฐานะความมั่งคั่งก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่ดีหรือเสียหายแต่อย่างใด ถ้าใช้แล้วมีความสุขเพิ่มขึ้นผมคิดว่าเราก็ควรจะใช้ แต่ถ้าใช้แล้วก็ไม่เห็นว่าจะมีความสุขมากขึ้นและอาจจะทำให้เราลืมทำในสิ่งที่มีความสุขเพิ่มมากกว่า ผมก็ไม่เห็นเหตุผลว่าเราจะใช้ไปทำไม
สำหรับผมแล้ว ผมคิดว่าในประเด็นของเรื่องความมั่งคั่งหรือเรื่องเงิน การมีเงินโดยตัวของมันเองก็ทำให้เรามีความสุขอยู่แล้ว บางทีในบางสถานการณ์โดยเฉพาะที่เรายังไม่รวยจริง ๆ นั้น การมีเงินทำให้มีความสุขยิ่งกว่าการใช้เงินด้วยซ้ำ
แหล่งข้อมูล : ThaiVi / โดยดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

