(Credit ภาพ : nationwideradiojm.com)
การลงทุนสวนกระแส หรือ Contrarian Investor คือ การลงทุนรูปแบบหนึ่งที่คล้ายๆกับการลงทุนแบบเน้นคุณค่าโดยการเล่นกับราคาหุ้น ในขณะที่การลงทุนแบบ VI จะเน้นซื้อหุ้นที่ดีในราคาที่ยุติธรรม
ถ้าพูดถึงการลงทุนแบบสวนกระแสแล้วนักลงทุนชาวไทยยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก ที่น่าจะโด่งดังมาก คือ แอนโทนี่ โบลตั้น ผู้จัดการกองทุนชาวอังกฤษ ที่ตอนนี้ได้เกษียนอายุตัวเองไปแล้ว ส่วน Michael Lee-Chin คนนี้ก็เป็นนักลงทุนอีกคนที่ชาวไทยควรรู้จักเป็นอย่างยิ่ง
Michael Lee-Chin นักลงทุนและนักธุรกิจชาวจาไมก้าผู้ก่อตั้งบริษัท Portland Holdings Inc. บริษัทโฮลดิ้ง ที่ไปถือหุ้นธุรกิจดีๆคล้ายๆเบิร์กไซด์ฮาธาเวย์ ของ วอเร็น บัฟเฟตต์ก็ไม่ผิดนัก แต่ Michael Lee-Chin จะเน้นหนักไปที่สายการท่องเที่ยว สื่อสาร กลุ่มสุขภาพ และโรงพยาบาล นอกจากนี้เขายังเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทกองทุน AIC Limited ที่ประเทศแคนาดา เขายังเป็นประธานกรรมการของธนาคารแห่งชาติจาไมก้าอีกด้วย รัฐบาลแคนาดายังยกย่องให้เขาเป็นนักธุรกิจชาวแคนาดาและก้าวขึ้นสู่มหาเศรษฐีที่ในแคนาดาและรวยที่สุดในจาไมก้าด้วยมูลค่าทรัพย์สินมากกว่า 2 พันล้านเหรียญแคนาดา
ไมเคิล ลี ชิน ยังเป็นนักบริจาคที่ใจกว้างอีกด้วย เขาได้สร้างพิพิธภัณฑ์ Royal Ontario Museum ที่รวบรวมงานศิลปะ วัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ให้กับนักศึกษามหาวิทยาลัยโตรอนโต้ได้ศึกษาเข้าชมฟรี และยังให้ทุนสนับสนุนก่อตั้งมูลนิธิแก่โรงพยาบาล Joseph Brant Hospital เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ยากจนให้มีโอกาสได้รับการรักษา
ไมเคิล ลี ชิน เกิดที่ประเทศจาไมก้าในปี 1951 เขาเป็นลูกผสมกันระหว่างพ่อชาวจีนที่ลี้ภัยสงครามมาอยู่ในประเทศจาไมก้าและแต่งงานกับแม่ของเขาซึ่งเป็นคนท้องถิ่น ต่อมาพ่อกับแม่ก็หย่าร้างกันตั้งแต่เขาอายุได้ 7 ขวบ ทำให้เขาใช้ชีวิตกับพ่อเลี้ยงทำงานอยู่ในร้านขายของชำ และแม่ของเขาทำงานเป็นเซลล์ขายเครื่องสำอางค์ Avon และพนักงานทำความสะอาดห้องสมุดประชาชน
ไมเคิล ลี ชิน เติบโตขึ้นท่ามกลางความปากกัดตีนถีบของครอบครัวที่ไม่ได้ร่ำรวยมากนัก เขาทำงานเป็นพนักงานขนกระเป๋าให้กับโรงแรมแห่งหนึ่ง ต่อมาเขาก็ไปทำงานเป็นพนักงานทำความสะอาดและปูเตียงให้กับเรือสำราญ Jamaica Queen cruise ship ในปี 1970 เขาเดินทางไปแคนาดาเพื่อสอบชิงทุนรัฐบาลให้ได้เรียนต่อ และเขาก็ได้รับมันจริงๆ เขาเลือกที่จะเรียนต่อสายวิศวกรรมศาสตร์ภาคโยธาของมหาวิทยาลัยแม็คมาสเตอร์
หลังจากเรียนจบเขาก็ทำงานในสายวิศวะให้กับรัฐบาลจาไมก้า และแต่งงานกับภรรยาชาวแคนาดา แต่เนื่องจากอุปสรรคของครอบครัวที่ปรับตัวไม่ได้ทำให้เขาต้องย้ายถิ่นฐานมาอยู่ในแคนาดาแทน ที่ซึ่งเต็มไปด้วยวิศวะจบใหม่ระดับหัวกะทิ เขาจึงมุ่งหน้าไปสายการเงินแทนที่จะมาแย่งตำแหน่งกับเด็กรุ่นใหม่ที่เพิ่งจะจบวิศวะ
(Photo: Christopher Wahl)
เขาทำงานในตำแหน่งที่ปรึกษาทางการเงินในบริษัท IGM Financial ในปี 1979 เกิดเศรษฐกิจตกต่ำในประเทศแคนาดา หุ้นหลักทรัพย์หลายตัวมีราคาที่ถูกมาก เขาจึงทำเรื่องกู้เงินกับแบงค์ 5 แสนเหรียญแคนาดาเพื่อมาซื้อหุ้น Mackenzie Financial Group บริษัทการเงินเล็กๆแห่งหนึ่ง
ในปี 1987 เขาได้ลงทุนซื้อบริษัทจัดการกองทุนด้วยมูลค่า 2 แสนเหรียญและควบรวมกับบริษัทตัวเขาเอง Mackenzie Financial Group และเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น AIC บริษัทจัดการกองทุนส่วนบุคคลและรับบริหารเงินให้กับนักลงทุน ปัจจุบันพอร์ตของบริษัท AIC มีมูลค่ามากกว่า 6 พันล้านเหรียญ
ไมเคิล ลี ชิน สนใจด้านการลงทุนนอกเหนือจากการทำธุรกิจส่วนตัว นักลงทุนในดวงใจของเขา คือวอเร็น บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังของโลกและเป็นนักลงทุนเน้นคุณค่า เขาพยายามหาหนังสือมาอ่านเพื่อตามติดชีวิตบัฟเฟตต์ และศึกษาว่าเขามีวิธีลงทุนอย่างไร ... เขาเห็นว่าบัฟเฟตต์คัดเลือกธุรกิจดีมาไว้ในพอร์ตการลงทุน เขาคิดอยากจะทำแบบบัฟเฟตต์บ้าง จึงตั้งบริษัท Portland Holdings Inc. เพื่อรวมธุรกิจชั้นยอดมาไว้ในบริษัทโฮลดิ้งของเขาเอง แน่นอนว่ามีหุ้นเบิร์กไซด์อยู่ในนั้นด้วย
ต่อมาในปี 2007 บริษัทจัดการกองทุน Manulife ขอซื้อหุ้นเบิร์กไซด์ต่อจาก Portland Holdings Inc. ทำให้ ไมเคิล ลี ชิน ได้กำไรมหาศาลจากการลงทุนหุ้นเบิร์กไซด์ ต่อมาในปี 2009 เขาก็ได้ขายบริษัท AIC Limited ให้กับ Manulife และก้าวขึ้นสู่หนึ่งในมหาเศรษฐีที่รวยที่สุดในแคนาดา
" ปรัชญาการลงทุนของผม คือ Buy, hold and prosper (ซื้อ ถือ และรวย) " - Michael Lee-Chin -
มุ่งหน้าสู่ทะเลแคริบเบียน
ในช่วงปี 2000 อุตสาหกรรมการบริหารเงินกองทุนทั้งในสหรัฐอเมริกาและแคนาดาเป็นที่นิยมมาก ส่วนใหญ่แต่ละกองทุนก็จะลงทุนในหลักทรัพย์เหมือนๆกัน หุ้นเหมือนๆกันและดูเหมือนว่าจำนวนกองทุนจะมากกว่าจำนวนตัวหุ้นซะอีก
ไมเคิลเล็งเห็นว่าถ้าเราทำตามคนส่วนใหญ่อย่างดีที่สุดเราก็จะได้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับพวกเขาเหล่านั้น และในกรณีแย่ที่สุด คือ ขาดทุนมหาศาล เพราะการทำตามคนส่วนใหญ่มันก็เป็นการชี้ชัดว่าจะทำให้เราขาดทุน ไมเคิลจึงพยายามมองหาการลงทุนในต่างประเทศ ซึ่งก็คือประเทศบ้านเกิดของเขา "จาไมก้า" และหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียนซึ่งเต็มไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และนักลงทุนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก
กลุ่มประเทศแคริบเบียนเป็นกลุ่มประเทศและหมู่เกาะต่างๆในเขตทะเลแคริเบียนซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของเม็กซิโก ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเวเนซูเอลา มีรัฐอยู่ราวๆ 25 รัฐซึ่งรวมรัฐอิสระและรัฐภายใต้ความคุ้มครอง (dependencies) (ข้อมูล : wikipedia.org)
ไมเคิลเห็นศักยภาพในประเทศบ้านเกิดของตัวเองจึงใช้บริษัท Portland ซึ่งเป็นโฮลดิ้งของเขาติดต่อขอซื้อธนาคารแห่งชาติจาไมก้าจำนวน 75% จากรัฐบาล ด้วยมูลค่า 6 พันล้านเหรียญจาไมก้า (ประมาณ 127 ล้านเหรียญสหรัฐ)
ต่อมาในปี 2003 บริษัท AIC Financial Group Limited ซึ่งเป็นบริษัทอีกแห่งหนึ่งของเขาได้ซื้อกิจการรับแลกเปลี่ยนเงินตรา Senvia Money Services Inc. ที่ประเทศทรีนิแดด
ในปี 2004 ไมเคิลประกาศจัดตั้งกองทุน AIC Caribbean Fund ซึ่งเน้นลงทุนในประเทศกลุ่มแคริบเบียนและเป็นที่ฮือฮาในหน้าสื่อการเงิน แม้แต่กลุ่มผู้จัดการกองทุนในสหรัฐอเมริกาเองก็ตาม บางคนยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าประเทศเหล่านี้อยู่ที่ไหน ? กองทุน AIC Caribbean Fund เน้นลงทุนใน 3 ประเทศ คือ จาไมก้า หมู่เกาะบาร์เบโดส และประเทศรีนิแดด แอนด์ โตแบโก้
ในปี 2006 Portland ซื้อธุรกิจประกันภัย United General Insurance Company สัดส่วน 85% และใหญ่ที่สุดในจาไมก้า ต่อมายังได้ซื้อธุรกิจสื่อโทรทัศน์ วิทยุ CVM Communications Group อีกด้วย
ในส่วนของธุรกิจท่องเที่ยว ไมเคิลเล็งเห็นว่าในแถบดินแดนแคริบเบียนแห่งนี้เต็มไปด้วยทะเลที่สวยงามแต่ยังไม่มีโรงแรมระดับหรูให้บริการนักท่องเที่ยว เขาจึงสร้างโรงแรม Trident Villas and Spa ระดับ 5 ดาวติดทะเล Reggae Beach
หลีกหนีวิกฤตการณ์คอมโมดิตี้บูม
ในช่วงปลายของยุค 90 เป็นยุคที่สินค้าโภคภัณฑ์ราคาพุ่งแรงถึงขีดสุดรวมถึงน้ำมัน กองทุนของเขาแทบจะไม่ได้สร้างผลตอบแทนให้กับกองทุนเลย และยังต่ำกว่าค่าดัชนีกลางอีกด้วย ทำให้มีผู้ถือหุ้นจำนวนหนึ่งรู้สึกไม่พอใจกับผลการบริหารของเขา ไมเคิลพยายามให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า ทาง AIC ไม่ได้มีความชำนาญทางด้านสินค้าโภคภัณฑ์มากนักและไม่มีแนวคิดที่จะลงทุนในสินทรัพย์เหล่านั้น รวมถึงบริษัทไฮเทคก็เช่นเดียวกัน
"เราพยายามยึดมั่นอยู่ในความรอบรู้ของเราและการถือลงทุนระยะยาว ... ไม่ช้าก็เร็วสิ่งที่นิยมมากจนเกินไป สุดท้ายแล้วมันจะจบลงด้วยคำว่าฟองสบู่" ไมเคิล ลี ชิน บอกกับสื่อ
การลงทุนสไตล์ไมเคิล ลี ชิน เป็นการผสมผสานระหว่างการสวนกระแส และการค้นหาสิ่งใหม่ๆอยู่เสมอ ในขณะที่คนอื่นกำลังลงทุนในประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างอเมริกาหรือไม่ก็แคนาดา แต่เขากลับมองว่าประเทศในกลุ่มเกาะแคริบเบียนเป็นสถานที่ใหม่และยังไม่มีใครไปลงทุน จึงเป็นการยากที่จะเข้าไปแสวงหา แต่ถ้าเราค้นพบแล้วผลตอบแทนย่อมสูงตามไปด้วย อีกนัยหนึ่งเขายังเป็นนักลงทุนสวนกระแสที่ชาญฉลาด ใครๆก็ลงทุนในหุ้นกลุ่มน้ำมัน แต่เขาพยายามหลีกเลี่ยงและลงทุนในสิ่งที่เขามีความรอบรู้อย่างเช่นธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจสื่อ เป็นต้น
และนี้ก็เป็นอีกหนึ่งชีวิตนักลงทุนที่นักลงทุนชาวไทยควรรู้จักครับ ...
ขอบคุณที่มา Bussiness Insider, Wikipidia
เรียบเรียงใหม่โดย SiTh LoRd PaCk